เดือนพฤษภาคมที่ผ่านๆ มานั้น ได้เคยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองหลายครั้งหลายหน ระหว่างประชาชนกับผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง เพราะประชาชนเห็นว่าการบริหารบ้านเมืองของผู้ถืออำนาจ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยรวมของประชาชน แต่เป็นการบริหารปกครองเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกมากกว่า จึงมีการลุกฮือขึ้นขับไล่ผู้บริหารปกครองอย่างไม่เกรงกลัว จนเดือนพฤษภาคมที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” หรือ “พฤษภามหาวิปโยค”
ทุกคนคงยังจำเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
การลุกขึ้นมาต่อสู้ของประชาชนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาดังกล่าว ก็เกิดจากความเหลืออดเหลือทนไม่ได้กับคนที่ใช้อำนาจอยู่ในขณะนั้น ที่ประพฤติปฏิบัติตนในทางไม่ถูกต้องเหมือนคนเมาในอำนาจ ใครจะว่า ใครจะเตือนอย่างไร ไม่ได้ยิน
ดูแล้วคล้ายๆกับผู้บริหารบ้านเมืองในขณะนี้
การปกครองบ้านเมืองนั้น ได้เคยพูดมาให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า แม้โอกาสจะอำนวย แต่ถ้าไม่ต้องด้วยใจคนแล้ว ผู้ปกครองนั้นก็ปกครองไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ยอมให้ปกครอง ไม่ว่าจะมีอำนาจมากมายเพียงใดก็ตาม ถ้าประชาชนไม่เชื่อถือเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็อยู่ไม่ได้
ปมเงื่อนสำคัญๆของความล้มเหลวในการปกครองบ้านเมืองนั้น ทั้งตัวผู้นำในการบริหารปกครองและผู้ร่วมทำงานที่ประกอบกันขึ้นถือว่าสำคัญยิ่ง ทั้งตัวผู้นำและองค์ประกอบของผู้ร่วมทำงานดังกล่าว ได้รับความเชื่อถือในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตใจเสียสละทำงานให้แก่ส่วนรวมอย่างจริงใจมากน้อยแค่ไหน รู้จักแยกแยะจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังในเรื่องที่จะบริหารจัดการหรือไม่ แม้กระทั่งความผิด ความถูก ในการจัดการบริหารปกครองให้เกิดความสงบสุขเรียบร้อย ว่ามีหรือไม่
ถ้ามีก็ “ต้องด้วยใจคน”
ถ้าไม่มีก็ “ไม่ต้องด้วยใจคน”
4 ปีของการได้อำนาจมาใช้จากการทำรัฐประหารครั้งนี้ เป็น 4 ปีของการทำงานและการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านที่ “ต้องด้วยใจคน หรือไม่นั้น ถ้าจะตอบอย่างชาวบ้าน
ร้านช่องในขณะนี้ ก็เห็นจะตอบได้ว่าเบื่อเต็มทีแล้วโว้ย
ไม่เชื่อลองออกจากทำเนียบไปเดินถนนฟังดูก็ได้
ความรู้สึกที่ดีของชาวบ้านส่วนใหญ่ที่มีต่อการทำรัฐประหารในระยะแรกๆนั้น มีทิศทางไปในทางบวกกับคณะรัฐประหาร แต่ขณะนี้ไม่ใช่เพราะติดลบเพิ่มทุกวัน ความอึดอัดใจของประชาชน และความไม่พอใจสะสมขึ้นในแต่ละวัน เหมือนหม้อน้ำกำลังเดือด
เหตุเกิดจากความเคลือบแคลงสงสัยที่เกิดขึ้นเรื่อยๆในการบริหารงานภายใต้ปากกระบอกปืน 4 ปี ของการทำงาน ทั้งการทำงานของหมู่คณะที่ชอบผลักมิตรไปเป็นศัตรูอยู่เรื่อยๆและการทำงานที่ไม่โปร่งใสของผู้ร่วมงานในหมู่คณะ ซึ่งเกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและคดโกง
แม้กระทั่งการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวก็ตาม ถ้าเป็นคนในพวกเดียวกันก็ดูจะอืดอาดล่าช้าผิดปกติ แต่ถ้าไม่ใช่พวกตัวก็จะแสดงท่าทีที่ขมีขมัน
ไม่นับความเดือดร้อนของผู้คนในกลุ่มอาชีพต่างๆในบ้านเมืองขณะนี้ ที่กำลังสะสมความไม่พอใจในการแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา ซึ่งยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังอะไรในทางที่ดีขึ้น
นี่คือภาพรวมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ในบ้านเมือง ภายใต้การรัฐประหารที่ผ่านมา 4 ปี ในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งแม้จะใช้กำลังอำนาจทางทหาร ขับไล่นักการเมืองเลวๆออกไปได้ก็ตาม ใช่ว่าความวิกฤติต่างๆในบ้านเมืองจะคลี่คลายหมดไปด้วย เพราะสารพิษตกค้างทั้งหลายยังคงมีอยู่ไม่ผิดอะไรกับคนป่วยที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญและเชี่ยวชาญในโรคนั้นๆ
การใช้อำนาจทางการเมืองการปกครองอย่างไม่มีประสบการณ์ เพราะร่ำเรียนมาอย่างหนึ่ง จะมาจัดการแก้ไขอย่างหมอที่มีประสบการณ์ในการรักษาโรคนั้นๆ คงไม่สามารถรักษาคนป่วยดังกล่าวได้แน่ ยิ่งได้ผู้คนที่นำมาประกอบเป็นหมู่คณะเพื่อทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองเป็นคนที่ไม่ดี ชอบควานหาประโยชน์จากอำนาจด้วยวิธีการต่างๆจากประสบการณ์ของตนที่ผ่านมา และชอบที่จะประจบสอพลอยกยอปอปั้น หาทางสืบทอดอำนาจให้ต่อยาวออกไปเรื่อยๆอย่างที่เห็นในขณะนี้ด้วยแล้ว เดือนพฤษภาคมปีนี้ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายให้เห็นอีก
ทหารต้องไม่ลืมพระบรมราโชวาทของจอมทัพไทย
ที่ได้พระราชทานในวันกองทัพไทย 25 ม.ค.2499 มีความสำคัญส่วนหนึ่งดังนี้
“...เมื่อทหารมีไว้สำหรับประเทศชาติ ทหารต้องเป็นของประเทศชาติ หาใช่ของบุคคลหรือคณะบุคคลใดโดยเฉพาะไม่...ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ปกครองทหารในทางที่ชอบที่ควร โดยระลึกถึงความเที่ยงธรรมและหน้าที่อันมีเกียรติของทหาร ทั้งนี้เพราะทหารได้รับเกียรติและเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมอาวุธและกำลังรบของประเทศ เป็นที่เคารพเกรงขามในหมู่ชนทั่วไป ทหารจึงต้องปฏิบัติให้สมกับที่ตนได้รับความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่มิใช่อยู่ในหน้าที่ โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระทำเช่นนั้นจะทำให้บุคคลเสื่อมความเชื่อถือในทหาร โดยเข้าใจว่าเอาอิทธิพลไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
เวลานี้สถานการณ์ทั่วโลกยังไม่อยู่ในระดับปกติ ความจำเป็นและความสำคัญของทหารย่อมมีมากขึ้น ทหารจึงควรรักษาวินัยโดยเคร่งครัด ประพฤติตนให้เที่ยงธรรม ปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ในขอบเขตของตนโดยเฉพาะ เป็นที่พึ่งที่เคารพของประชาชน...”
นี่คือพระบรมราโชวาทของจอมทัพไทย
แม้จะเป็นพระราโชวาทที่พระราชทานไว้นานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2499 ก็ตาม แต่เนื้อหาและความหมายยังคงทันสมัยและถูกต้องทุกอย่างในขณะนี้
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี