ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ การเขย่าพรรคการเมืองเดิมโดย คสช. กรณีกำหนดให้พรรคการเมืองเดิมหากยังต้องการให้คงสภาพอยู่จะต้องให้มีการยืนยันสมาชิกเดิมภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเต็มไปด้วยวันหยุด ทำเอาสมาชิกหลักล้านของพรรคการเมืองใหญ่เหลือเพียงหลักแสน ในขณะที่อีกด้านก็เปิดโอกาสให้จดทะเบียนพรรคใหม่ และดูเหมือนจะเปิดช่องให้พรรคใหม่ได้เริ่มดำเนินการทาง
การเมืองโดยไม่มีอะไรปิดกั้นหรือไม่ ?
แต่พรรคใหม่ที่อาจจะไม่ใหม่จริง เพราะบางพรรคแกนนำเป็นลูกหลาน หรืออดีตกลุ่มก๊วนแนวร่วมจากพรรคการเมืองใหญ่เดิม ขณะที่บางพรรคแม้ยังไม่ได้จัดตั้งแต่ก็มีกระแสข่าวแล้วว่าอาจจะตั้ง และมีพฤติกรรมในทำนองชักชวน หรือ ดูด สส. เข้ามาเป็นแต้มต่อให้ตัวเองในพรรคใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งหรือไม่? ผ่านการจัดสรรเก้าอี้ต่างๆ ที่มีอยู่ปัจจุบันอย่างที่เป็นข่าว ตลอดจนคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ประยุทธ์ ที่พูดทำนองว่า “การดูด สส. เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย” หากเป็นเช่นนี้พรรคใหม่ที่ไม่ได้ใหม่จริงทั้งหลายเหล่านี้ต้องการอะไรกันแน่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจเมื่อพบว่ามีการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่หลายพรรค ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของอนาคตการเมืองไทยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไปสักพักก็มีคนตั้งคำถามว่า พรรคการเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองเก่าขนาดใหญ่เลยหรือ? หรือเป็นพรรคทายาทที่เกิดขึ้นมาเพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่เท่านั้น? สำหรับพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องตอบคำถามกับสังคมในเรื่องนี้มากหน่อยเพราะตั้งแต่เรื่องของนามสกุลก็เป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจว่า มีความยึดโยงกับพรรคเก่าสายแดงหรือไม่? แต่หากตอบคำถามได้ดีก็คงไม่มีปัญหา การตั้งพรรคอนาคตใหม่ที่พยายามบอกว่าเป็นการเริ่มต้นโดยบุคคลหน้าใหม่ทางการเมือง และมีการเปิดตัวทีมงานผู้ก่อตั้งที่มาจากต่างสาขาอาชีพ ทำให้มีภาพเป็นพรรคใหม่ทางการเมืองจริงๆ ในมุมของนโยบายที่พยายามจะพูดถึงสิ่งใหม่ๆ ทั้งในเรื่องการทหาร การบริหารพรรคแนวใหม่ จนเมื่อแกนนำพรรคคนที่สองให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า “การเลือกตั้งในครั้งหน้า จะมีสัดส่วนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกมาก ซึ่งคนเหล่านี้มีความคิดที่แตกต่างจากพรรคเดิมๆ และนี่คือกลุ่มเป้าหมายของพรรคฯ”
ฟังเช่นนี้ในตอนต้นจึงคิดได้ว่า นี่คือเป้าหมายของพรรคใหม่ดังกล่าว แต่หลังจากนั้นก็มีหลายคนย้อนกลับไปดูถึงผลงาน หรือเรื่องที่เคยพูดในอดีตของแกนนำพรรคทั้งสองคน ที่เคยวิจารณ์เรื่องทั้งแรงงาน เพศสภาพ กระทั่งเรื่องความจงรักภักดีต่อสภาบันฯ จนเป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนท่าทีของสองแกนนำพรรคต่อสื่อครั้งใหม่ รวมถึงพฤติกรรมที่ลดการให้สัมภาษณ์ แต่ปรับเปลี่ยนมาเป็นการออกชุดเอกสารแถลงข่าว พร้อมกับวีดีโอการลงพื้นที่ที่ได้ไปทำมาแทนใช่หรือไม่? ในขณะที่พรรคการเมืองใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น เริ่มพูดแนวคิดของตัวเอง แต่บางพรรคเริ่มเจาะกลุ่มพื้นที่ภาคต่างๆแล้ว โดยเริ่มไปเยี่ยมเยียนประชาชนในภาคอีสาน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การลงพื้นที่ในอีสานครั้งที่ผ่านมามีอะไรแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะใครก็รู้ว่าพื้นที่อีสานเป็นของพรรคใคร และหากยังจำกันได้เมื่ออดีตนายกฯ จากพรรคสายใต้ไปเหยียบพื้นที่นี้ทีไรจะเกิดการตอบโต้จากกลุ่มมวลชนเสื้อแดงทุกครั้งตามที่เป็นข่าวในอดีต แต่การลงพื้นที่ของพรรคนี้กลับไม่มีเสียงการตอบโต้หรือคัดค้านจากฝั่งพรรคการเมืองเก่าเจ้าของพื้นที่ หรือกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีแม้แต่การให้สัมภาษณ์จากแกนนำพรรคใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ที่เด่นชัดที่สุด คือการลงพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่หัวใจของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่นอกจากไม่มีการกีดกันจากคนในพื้นที่ ไม่มีการตอบโต้จากทางเจ้าของพื้นที่แล้ว ยังเป็นคนจุดประเด็นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเริ่มชุมนุมต่อต้านบ้านพรรคตุลาการที่เชียงใหม่ด้วยประเด็นเรื่องบ้านพักป่าแหว่ง
แต่ก็บังเอิญอีกเช่นกันที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีการพูดถึงการอนุมัติโครงการที่เริ่มในรัฐบาลระบอบทักษิณ ถึงเรื่องการรุกป่าจะขัดใจหลายคนในประเทศ แต่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยต่อการเล็งเป้าโจมตีเฉพาะรัฐบาล คสช. จนเมื่อมีคำชี้แจงบางประการจากแกนนำพรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่ในทำนองปลุกกระแสชุมนุมป่า สู่ชุมนุมประชาธิปไตยอะไรทำนองนี้ใช่หรือไม่? ซึ่งก็มีประชาชนไม่น้อยที่มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ในเรื่องป่า จึงต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างประชาชนที่เจตนาบริสุทธิ์กับคนที่สบช่องใช้สถานการณ์ดังกล่าวมาเป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่พยายามโยงเข้าไปสู่ประเด็นการเมืองที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มตัวเอง
กลับไปที่แนวคิดของพรรคใหม่ที่เพิ่งออกมาให้ความเห็นในเรื่องการกระจายอำนาจ โดยพาดพิงในทำนองวิจารณ์นโยบายพรรคการเมืองเดิม แต่ไม่มีการวิจารณ์นโยบายของพรรคเพื่อไทยเลยใช่หรือไม่? จึงไม่รู้ว่าใช่ประชาชนคิดว่าสองพรรคนี้เกี่ยวกันอย่างไร การตลาดทางการเมืองเป็นอย่างไร และสุดท้ายทุนสนับสนุนพรรคฯมาจากแหล่งใด ในขณะที่ว่าที่พรรคใหม่อีกพรรคหนึ่งที่มีข่าวในทำนองแกนนำบุคคลสำคัญในรัฐบาลอาจจะมาตั้งพรรคการเมืองเองหรือไม่นั้น? นำมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองระลอกใหม่แต่เป็นรูปแบบเดิมๆ ในทำนองการดูด สส.แม้กระทั่งที่นายกฯ ยังออกมาพูดเองว่าการดูด สส. เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย หรือพูดประหนึ่งว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน คำพูดนี้ก็ไม่ผิดนักเพราะในอดีตการเมืองไทยก็มีการเคลื่อนไหวลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยปกติอดีต สส.จะมีการย้ายพรรคอยู่แล้วในทุกการเลือกตั้ง แต่ส่วนใหญ่มีเพียงไม่เกิน 5-10% เท่านั้นต่อวาระการเลือกตั้ง แต่ที่หนักที่สุดก็คือช่วงนายกฯระบอบทักษิณที่มีการดูด สส. จากที่ต่างๆ ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ในตอนนั้น ทำให้ได้ที่นั่งในสภาเป็นพรรครัฐบาล ต่อมาเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็ยังไปควบรวมพรรคเสรีธรรม และพรรคความหวังใหม่เพื่อดึงคะแนนเสียงในสภาให้สูงขึ้น เอื้อต่อการผ่านกฎหมาย และจำกัดการตรวจสอบจากพรรคฝ่ายตรงข้ามเพราะทำให้ไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯในขณะนั้นได้?
ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งวาระสองก็มีการกวาดต้อนเหล่า สส. จากพรรคการเมืองอื่น เข้ามาเพิ่มจนเป็นผลให้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงกว่า 377 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่งในสภาซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นอดีต สส. ดั้งเดิมอยู่เยอะแค่ย้ายพรรคเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาใช่หรือไม่?
รวมไปถึงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดในการจัดการ ทั้งกรณีเก้าอี้ดนตรีรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีกระทรวงรองต่างๆ แต่ละคนจะมีวาระไม่เกิน 6 เดือนในการดำรงตำแหน่งใช่หรือไม่? และก็ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนโควตาให้ครบทุกมุ้งในพรรค เพราะพรรคมาจากการควบรวมอดีตสส. จากมุ้งต่างๆ ในอดีต โดยเห็นได้จากการปรับครม.มากกว่า 9 ครั้งในสมัยรัฐบาลวาระแรก หรือกรณีเก้าอี้รัฐมนตรีไม่พอจึงทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเมืองใหม่ในนามการปฏิรูประบบราชการที่มีการเพิ่มขึ้นอีก 6 กระทรวง และมีการเปิดตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยต้องได้รับการแต่งตั้งจากนายกฯ ผ่านมติ ครม. ถึงจะเป็นตำแหน่งที่ไม่มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน แต่ก็ทำให้นายกฯ ในขณะนั้นสามารถคลายความตึงเครียดเรื่องที่นั่งรัฐมนตรีไม่พอลงได้
จากลำดับเวลาที่ไล่เลียงมาทั้งหมดคงชี้ให้เห็นแล้วว่าการดูด สส. ไม่ใช่ครรลองของประชาธิปไตยแบบที่นายกฯประยุทธ์เข้าใจ เพราะการดูด สส. ต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ที่ไม่เป็นผลดีกับการพัฒนาประชาธิปไตย ทั้ง สส. ที่ถูกดูดมาร่วมพรรค หรือพรรคที่ต้องการดูดย่อมสร้างการเจรจาทางผลประโยชน์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อดำรงตำแหน่ง การที่นายกฯกล่าวเช่นนี้ จึงดูเหมือนเป็นการยอมจำนนต่อวัฒนธรรมทางการเมืองเดิมๆ ถอดใจกับการสร้างวัฒนธรรมใหม่ และปิดโอกาสในการสร้างมิติใหม่ทางการเมือง เพื่อผลิตนักการเมืองน้ำดีหน้าใหม่เข้าสู่วงการการเมือง เพราะยังมีการส่งเสริมให้กลุ่มการเมืองเดิมๆ สามารถอยู่รอดในระเบียบการเมืองใหม่ได้ใช่หรือไม่?.......
“...สวยสดงดงามเพียงไหน ชั่วพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์...” คำความโกวเล้ง จากเรื่องหงส์ผงาดฟ้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี