ตั้งใจจะเขียนเรื่องความปรองดองของพี่น้องเกาหลี ที่มีผลมาจากการพบปะของผู้นำทั้งสองฝ่าย แต่พอเห็นความเคลื่อนไหวกดดันแพทย์ปัจจุบันและรัฐบาลของนายแสงชัย แหเลิศตระกูล เห็นว่าเรื่องสุขภาพอนามัยของคนไทยสำคัญกว่า ต้องพูดจากันเสียแต่วันนี้
นายแสงชัยอ้างว่า ได้รับสูตรยารักษามะเร็งมาจากเขมร ส่วนผสมของยา คือ รำข้าว กระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้.. ได้ผลิตยาแจกจ่ายผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้วหลายหมื่นราย ผู้คนที่ได้รับยาบอกต่อๆ กันว่ากินยาหมอแสง อาการดีขึ้นบ้าง ไปตรวจมาแล้วเชื้อมะเร็งเป็นลบบ้าง คนที่พูดถึงคุณวิเศษยานายแสง ใช้คำพูดพิมพ์เดียวกับการโฆษณายาเทวดา สมุนไพรวิเศษ น้ำหมักมหัศจรรย์ ที่กรอกหูชาวบ้านทุกวันบนวิทยุท้องถิ่นในต่างจังหวัด
คนที่ขับรถไปต่างจังหวัดทั้งคืนทั้งวัน จะได้ยินโฆษณายาเทวดา น้ำหมักวิเศษ เห็ดมหัศจรรย์ พอเข้าเขต จ.สมุทรสาคร จะได้ยินโฆษณายาวิเศษบำรุงสายตา บำรุงสมอง จากเพชรบุรี ไปชุมพร จะได้ยินโฆษณายาเทวดา รักษาได้ทุกโรค ตั้งแต่เบาหวาน เกาต์ มะเร็ง อาหารเสริมทำให้อกฟู รูฟิต ฯลฯ การโฆษณาชวนเชื่อสลับกับรับสายจากทางบ้าน ทุกสายที่โทร.มาพูดเหมือนกันว่า ที่เป็นโรคนั้นโน้นนี้ แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หาย แต่พอทานอาหารเสริม ยาเทวดา น้ำหมักวิเศษ เห็ดมหัศจรรย์ อาการดีขึ้นทันตา
ชาวบ้านถูกกรอกหูด้วยคำหลอกลวงเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ประหลาดใจว่า กสทช. ปล่อยให้โฆษณาสิ่งที่อาจเป็นภัยต่อสุขภาพได้อย่างไร ผู้เขียนเคยเห็นเพื่อนบ้านสองคนเสียชีวิตในเวลาห่างกันเพียงเดือนเดียว คนแรกถูกนำส่ง รพ.พระนั่งเกล้า เพราะมีอาการแน่นหน้าอก หมอรับตัวไว้รักษาใน รพ. คืนที่สองลูกสาวได้รับแจ้งว่าคุณแม่เสียชีวิตเพราะไตวายเฉียบพลัน แพทย์ถามว่าคนตาย เคยกินอาหารเสริมพวก น้ำหมัก ยาดองหรือไม่ ลูกผู้ตายสำรวจห้องนอนพบว่ามีน้ำหมักยาดอง ตุนไว้สี่โหล พบขวดเปล่ายาดองอีกสี่ขวด
แพทย์บอกว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะอาหารเสริมทำนองนี้หลายรายแล้ว หนึ่งเดือนต่อมาเพื่อนบ้านอีกคนเสียชีวิตเพราะสาเหตุเดียวกัน จึงอนุมานว่ายาเทวดาที่โฆษณา และพูดปากต่อปากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นอันตราย หลายคนอาจเถียงว่ายา-อาหารเสริมพวกนั้นทำให้อาการดีขึ้นจริง คำอธิบายง่ายๆ คือหนึ่งอาจเป็นเพราะยาพวกนั้นใส่สารกระตุ้นไว้ด้วย กินเข้าไปใหม่ๆ ทำให้กระชุ่มกระชวย สองอาจเป็นดังที่ท่านพุทธทาสฯเคยเทศนา “เรื่องไสยศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ไว้ว่า “บางทีเราเห็นว่าหมอไสยศาสตร์ใช้เวทมนตร์คาถา เสกน้ำมนต์รักษาคนป่วยหายได้ นั้นแหละเรียกว่าไสยศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์ที่ทำให้คนเชื่อมั่นศรัทธา เมื่อมีความเชื่ออย่างแรงกล้า ทำให้เคมีในร่างกายมีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลง เคมีที่เปลี่ยนแปลงเพราะความเชื่อทำให้ อาการป่วยดีขึ้นได้.....มนุษย์ถ้ามีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้วเอาแป้งอัดเป็นยาเม็ดให้กินก็อาจหายป่วยได้.....”
ดังนั้นคนที่รับยาหมอแสง บางคนรู้สึกดีขึ้นบ้าง อาจเกิดจากความเชื่อ แต่ในเมื่อความเชื่อที่ว่านั้นได้รับการอธิบายตามมาตรฐานว่ารักษาโรคมะเร็งไม่ได้เพราะ ยาไม่มีฤทธิ์ฆ่ามะเร็ง นายแสงชัย ต้องไม่ท้าทายศาสตร์ที่เป็นมาตรฐานด้วยการปลุกระดม ให้คนไปร้องต่อสถาบันมะเร็ง ว่าต้องการรับยานายแสงต่อไป เพราะสถาบันมะเร็งไม่มีแผนกรับเรื่องไร้หลักการ พฤติกรรมอย่างนี้มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากกดดันกระทรวงสาธารณสุข ไม่ให้ขัดขวางวิถีทางหมอแสง
แต่รัตนโกสินทร์ไม่สิ้นคนดี ยังมีวีรสตรีผู้หาญกล้าชื่อว่าหมอเอื้อม หรือ ผศ.พญ.เอื้อมแข สุขประเสริฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แจกแจงว่า “ทำไมยาหมอแสงจึงรักษาโรคมะเร็งไม่ได้”
เฟซบุ๊ค Ae Aumkhae หรือ ผศ.พญ.เอื้อมแข โพสต์ข้อความ ว่าข่าวในแง่ของสุขภาพน่าจะเป็นเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงว่ายาของนายแสงชัย ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งเมื่อนำไปศึกษาในหลอดทดลอง งานนี้ขอปรบมือดังๆ ให้ผลงานชิ้นโบแดงของกระทรวงที่กล้าออกมาพูดความจริง ไม่โน้มเอียงไปกับกระแสความเชื่อของสังคมไทย เอื้อมแขก็เลยอยากจะพูดถึงเรื่องการศึกษาทดลองยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในปัจจุบันสักเล็กน้อย สำหรับยาเคมีบำบัด ก่อนจะเอามาใช้ เขาจะต้องมีการวิจัยเป็นขั้นตอนดังนี้..
1.ขั้นตอนแรกคือทำในหลอดทดลอง โดยสกัดเอาตัวยาออกมาจากวัตถุดิบ ทำความเข้มข้นต่างๆ กันจากน้อยถึงมาก แล้วนำไปหยดใส่ในเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงไว้ แล้วดูว่าเซลล์ตายหรือไม่ ถ้าเซลล์ตายแสดงว่ามีสารออกฤทธิ์จริง แล้วจึงจะนำไปศึกษาขั้นถัดไป
2.ขั้นตอนที่สอง ทำการศึกษาในหนู โดยทำให้หนูเป็นมะเร็ง แล้วนำสารที่ออกฤทธิ์ไปฉีดใส่ในตัวหนู ถ้าก้อนยุบถือว่ามีสัญญาณที่ดีว่าเราน่าจะพบยาที่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งชนิดนั้นๆ ได้ แต่แค่นี้ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ในคนได้ ยังต้องมีการศึกษาในคนต่อไป
3.เป็นการศึกษาในคน ซึ่งต้องมีระยะต่างๆ ดังนี้
- Phase 1 เป็นการศึกษาเพื่อหาขนาดยาที่เหมาะสมที่จะใช้ในคน เพื่อไม่ให้มีผลข้างเคียงที่รุนแรงเกินไป
- Phase 2 นำขนาดยาที่เหมาะสม มาทำการทดลองให้ในคนเป็นมะเร็งชนิดที่เราสนใจศึกษา แต่ต้องเป็นคนที่ดื้อต่อการรักษามาตรฐาน แล้วดูว่ามีอัตราของคนไข้ที่ตอบสนองต่อยาตัวนี้เพียงพอหรือไม่ที่จะบอกว่ามีประโยชน์ ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ได้ จะไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด
- Phase 3 คือการศึกษาในคนไข้มะเร็งจริง โดยถ้าเป็นยาใหม่ ส่วนใหญ่จะต้องนำมาศึกษาในคนไข้ที่ดื้อต่อการรักษาแบบมาตรฐานแล้ว และต้องมีกลุ่มเปรียบเทียบคือรักษาประคับประคอง
ถ้ายามีผลจริง คนไข้กลุ่มที่ได้ยาจะต้องมีชีวิตยืนยาวกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ จากนั้นจึงจะไปขึ้นทะเบียนในข้อบ่งชี้นั้นๆ ได้ แล้วจึงจะขยับขึ้นไปเปรียบเทียบกับยามาตรฐานเพื่อเขยิบข้อบ่งชี้ขึ้นไปเป็นการรักษาลำดับแรก ทั้งนี้ เห็นกันชัดๆ ว่ายาสมุนไพรของนายแสงชัย ตกคุณสมบัติตั้งแต่ขั้นตอนแรกแล้ว คือไม่มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง ดังนั้นถ้าตามขั้นตอน เขาก็เลิกที่จะเอามาศึกษาอะไรต่อไป เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติในการรักษาโรค จริงๆ ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ก็ยังมีขั้นตอนในการพิสูจน์อีกเยอะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เอามาแจก ปริมาณที่เหมาะสมที่ควรจะกินเท่าไหร่ก็ไม่เคยมีการศึกษา ผลข้างเคียงมีอะไรบ้างก็ไม่ทราบ
ในฐานะหมอมะเร็ง อยากขอให้เพื่อนๆ ช่วยอ่านกันให้มากๆ ช่วยกันแชร์ให้มากๆ ไม่อยากให้คนไทยตกอยู่ใต้วังวนของการเชื่อโดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์ คนไข้โรคมะเร็งที่ไปรักษาแพทย์ทางเลือก จำนวนไม่น้อยที่จริงๆ เป็นระยะเริ่มต้น ซึ่งควรที่จะหายถ้าได้รับการรักษาแผนปัจจุบัน แต่เขากลับต้องกลายเป็นระยะแพร่กระจายเพราะไปเสียเวลากับสมุนไพรอะไรที่ไม่ได้ผล
นอกจากนั้น บางคนยังมีผลข้างเคียง ตับวาย ไตวายกันมาก็มาก การรักษาแนวทางนี้เน้นการโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนไข้ที่แข็งแรงมาพูดออกสื่อ ซึ่งจริงๆ แล้วกลุ่มคนที่แข็งแรงเหล่านี้ บางคนก็เพราะได้รับการรักษามะเร็งระยะเริ่มต้นโดยวิธีปัจจุบันมาแล้ว ขณะเดียวกัน ยังอยู่ในระยะปลอดโรคอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรอื่นก็สบายดีได้ บางคนรักษาแผนปัจจุบันและควบคุมโรคได้ด้วยวิธีแผนปัจจุบัน แต่กลับไปเชื่อว่าโรคควบคุมได้โดยยาสมุนไพร ปัจจุบันการรักษามะเร็งทันสมัยมากขึ้น เรามีการรักษาจำเพาะ พุ่งเป้า และยาหลายรายการ คนธรรมดาก็เข้าถึงได้ เนื่องจากมีโปรแกรมช่วยเหลือ และยาราคาถูกลง ดังนั้นอยากให้คุยกับแพทย์ให้ละเอียดสักนิดถึงทางเลือกในการรักษา ซึ่งอาจจะดีกว่าที่คิด
“โปรดอย่าให้คนรู้จักตกเป็นเหยื่อของความไม่รู้ ช่วยกันเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงไปกับกระแสโฆษณาชวนเชื่อ ถ้าสักวันนึงเราต้องตายจากมะเร็งจริง ขอให้ตายอย่างรู้เท่าทัน ไม่ถูกหลอก แค่นั้นก็น่าจะตายตาหลับแล้ว จริงไหม”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี