ในหนังสือ “รัตนนิพนธ์”ของสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) กรรมการมหาเถรสมาคม วัดบวรนิเวศวิหาร (พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2559 โปรดดูหน้า 59)
ในบทความ “ธรรมคติ คุณค่าของความเอื้อเฟื้อ” ได้กล่าวและอธิบายถึงสุภาษิตของไทยอยู่บทหนึ่ง เป็นคติสอนใจที่ลึกซึ้งยิ่งนักและอาจปรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองประเทศเกาหลีและหลายประเทศในโลกรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย คือ “ธรรมคติ” ดังนี้
“ไม่ใช่ชาติ ไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้ออาตมา”
“ถึงเป็นชาติ เป็นเชื้อ ถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อ ก็เหมือนเนื้อในป่า”
ผู้เขียนขอนำคติธรรมที่ลึกซึ้งนี้มาวิเคราะห์กับสองประเทศเกาหลีคือเหนือและใต้จากการที่ได้มีโอกาสไปเยือนประเทศสาธารณรัฐเกาหลีหรือ “เกาหลีเหนือ” ในฐานะแขกของรัฐบาลถึงสองครั้งและได้ติดตามศึกษาสถานการณ์โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำสูงสุดตั้งแต่คนแรกคือ “คิม อิล ซุง” (KIM IL SUNG) มาจนถึงคนปัจจุบันคือ “คิม จอง อึน” (KIM JONG UN) ผู้เป็นหลาน ผู้เขียนจึงเชื่อว่าผู้นำเกาหลีเหนือทุกคนไม่มีความคิดร้ายต่อชาวโลกดังที่ประธานาธิบดีทุกคนของสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาตั้งแต่สงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นในปี ๒๔๙๓ ถึง ๒๔๙๖ จนมาถึงประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่ถูกเรียกจากคนชาติเดียวกันว่า “ทรัมป์บ้า” ใส่ร้าย และยิ่งเมื่อผู้เขียนมาเห็นภาพที่ “คิม จอง อึน” ร่วมร้องเพลง “รวมชาติเกาหลี” ปรบมืออย่างยิ้มแย้มแจ่มใสที่คณะนักร้องจากเกาหลีใต้มาจัดแสดงดนตรีที่กรุงเปียงยาง ผู้เขียนจึงเล็งเห็นผลว่า “สันติภาพ” ระหว่างสองประเทศที่เป็นศัตรูกันมานานแท้จริงเพราะมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ได้เกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่งจากเสียงเพลงและคงจะพัฒนางอกงามต่อไปตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลา (ดูบทความ “ปรีชา’ทัศน์ หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ หน้า ๒” ฝรั่งเศสมอบเครื่องอิสริยาภรณ์แก่คุณสุดา และคุณดุษฎี พนมยงค์)
ขอย้อนความจำในการไปครั้งแรกของผู้เขียนได้ไปกับคณะของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ค.ศ.๑๙๕๔(พ.ศ.๒๕๒๗) มีท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์กวี ทังสุบุตร เป็นหัวหน้าคณะจึงเป็นการไปดูงานด้านการศึกษาเป็นสำคัญเวลานั้น คิม จอง อึน ยังไม่เกิดครับ
ครั้งที่สองเมื่อปี ค.ศ.๑๙๙๓ ไปในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยที่มี ฯพณฯท่านศาสตราจารย์ มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภาเป็นหัวหน้าคณะในฐานะเป็นแขกของรัฐบาลเกาหลีเหนือในสมัยที่ “คิม อิล ซุง”เป็นผู้นำสูงสุดได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานในเกือบทุกด้านที่สำคัญทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และสถาบันการศึกษาและได้ไปเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดีผู้นำสูงสุด คิม อิล ซุง (KIM IL SUNG) และถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน (ดูรูปที่ ๑) ขณะนั้น คิม จอง อึน ที่เป็นหลานและเป็นผู้นำสูงสุดขณะนี้มีอายุประมาณ ๙ หรือ ๑๐ ขวบ (เกิดประมาณ ๑๙๘๓ หรือ ๑๙๘๔)
การไปครั้งที่สองนี้ยังมีโอกาสที่หาได้ยากกล่าวคือได้รับอนุญาตไปที่เส้นขนานที่ ๓๘ ปันมุนจอม (ดูรูปที่๒) อันเป็นสถานที่เดียวที่สองผู้นำเกาหลีเหนือและใต้ คือ“คิม จอง อึน (KIM JONG UN)” และ “มุน แจ อิน (MOON JAE IN)” จับมือจูงกันเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๑
เดินข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างรอยด่างไว้ในสงครามเกาหลี(ดูรูปที่ ๒ และ ๓) และไม่ว่าใครไม่อาจที่จะข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ ไปฝั่งประเทศเกาหลีใต้ และข้ามมาเกาหลีเหนือได้โดยเด็ดขาด
ผู้เขียนและภรรยาต้องยืนนิ่งๆ ต้องระมัดระวังไม่อาจที่ก้าวขาไปฝั่งเกาหลีใต้แม้แต่นิดเดียวเพราะทหารทั้งสองฝั่งจ้องดูอยู่อย่างไม่กะพริบตา ในขณะเดียวกันนึกอิจฉานกและสุนัขที่มีอิสระเสรีภาพที่จะบินหรือเดินข้ามไปมาได้ เพราะเหตุสัตว์ไม่มี “เชื้อชาติและสัญชาติ” เหมือนคน ที่เป็นสถานะตามกฎหมายกำหนดไว้ให้คนมีสิทธิและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ที่ขัดต่อความยุติธรรมตามธรรมชาติ (อ่านต่อฉบับหน้า)
ศาสตราจารย์ พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี