ผมได้ศึกษาข้อขัดแย้งของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มาตลอดทั้งปีและในบางช่วงเวลา เช่น ต้นปี ทุกคนคิดว่า โลกคงลำบากเพราะอาจจะมีการเปิดสงครามกันระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ จากการโต้ตอบกันอย่างรุนแรง และเกิดความเสี่ยงต่อโลกอย่างมากโดยเฉพาะปี 2517 และต้นปี 2518
มาถึงวันนี้ เหตุการณ์ต่างๆ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ในการพบปะกันของผู้นำทั้งสอง นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ทำให้โลกกลับมามีความหวังมากขึ้นว่า สันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีน่าจะมีโอกาสอีกครั้ง
ผมได้ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เมื่อวันศุกร์ ติดตามข่าวจากทีวีตลอด เพราะจากทฤษฎี 3 วงกลมของผมว่า สมรรถนะ 5 เรื่อง ที่คนไทยควรจะมีคือ
1.สมรรถนะในเรื่องที่ชำนาญเฉพาะทาง
2.สมรรถนะเรื่องการบริหารจัดการ
3.สมรรถนะเรื่องภาวะผู้นำ
4.สมรรถนะทางจิตวิญญาณผู้ประกอบการ
5.สมรรถนะในการเข้าใจภาพใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งไม่ค่อยมีคนพูดถึง
ข้อ 5 คนไทยขาดมากๆ มีหลายคนเก่งเรื่องเฉพาะทาง ผมมีโอกาสได้ฝึกคนที่มีความรู้ลึกๆ เช่น หมอ วิศวะ เภสัช มามาก ถ้าเพิ่มสมรรถนะการมองโลกกว้าง เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และนำมาศึกษา จะทำให้เรามีครบทุกๆ ด้าน คล้ายทฤษฎีสมรรถนะตัว T ที่ลึกได้ กว้างได้
ผมลองวิเคราะห์การเรียนรู้จากการพบปะกันของ 2 ผู้นำครั้งนี้ อาจสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
1.จุดเริ่มต้นมาจากกีฬา ที่เกาหลีใต้จัดกีฬาโอลิมปิกหน้าหนาว ประธานาธิบดีมุน แจ อิน มีความตั้งใจหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งอยู่แล้ว จึงเชิญเกาหลีเหนือมาร่วมและทำสำเร็จ เพราะกีฬาทำให้มีการเชื่อมโยงกันคล้ายๆ ทางการทูตภาคประชาชน เป็นจุดเริ่มต้น เป็นบทเรียน ในเมืองไทย กับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ควรจะใช้กีฬาเสริมให้มาก ทั้งในระดับประเทศไทยและนานาชาติ เช่น เชิญมาเลเซียหรืออินโดนีเซียมาร่วมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออาจเชิญชาติอาหรับ ตะวันออกกลาง มาร่วมเรื่องกีฬามากขึ้น
2.ประสบการณ์ของมุน แจ อิน ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ชื่อ Roh Moo-hyun จึงมีความชำนาญและประสบการณ์ซึ่ง ประธานาธิบดี Roh Moo-hyun ได้เคยพบปะกับผู้นำเกาหลีเหนือมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ บทเรียนจากที่เคยเห็นความล้มเหลวทำให้เขามีโอกาสแก้ตัวโดยพยายามเรียนรู้จากความล้มเหลว (Learning from Pain) ความล้มเหลวในอดีตทำให้เขาปรับ Mindset ของเขาว่า ครั้งนี้น่าจะสำเร็จ
3.บทบาทของน้องสาวคิม จอง อึน ก็สำคัญมากๆ เพราะตั้งแต่ไปร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนได้ดี ทำให้บรรยากาศความเป็นมิตรของสองประเทศมีมากขึ้น
4.ยกความดีบางส่วนให้ Donald Trump จากการเป็นผู้นำที่ทายไม่ถูก (Unpredictable) ที่เล่นบทแรง บางครั้งเล่นบทการทูตด้วย เช่น การตอบรับพบกับคิม จอง อึน อย่างไม่เคยมีอดีตประธานาธิบดีสหรัฐทำมาก่อน แตกต่างจาก Obama ที่เล่นบทนิ่มๆ มาตลอด การที่เร่งการคว่ำบาตรและใช้ภาษารุนแรง เช่น เรียกผู้นำเกาหลีเหนือว่า Little Rocketman และใช้คำว่า Fire and Fury ทำนองว่า ฉันจะทำประเทศเกาหลีเหนือลุกเป็นไฟ
5.ยอมรับว่า การคว่ำบาตรโดยสภาความมั่นคง UN และการสนับสนุนของสี จิ้น ผิง ทำให้เกาหลีเหนือมีปัญหาทางเศรษฐกิจและประกอบกับการใช้เงินในการยิงจรวดติดๆ กันทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือลำบาก เข้าตำราเศรษฐศาสตร์ว่า ได้อย่าง เสียอย่าง เอาเงินไปด้านทหารมาก อาหารก็น้อยลง คนเกาหลีเหนืออดอยากมาก
6. ต้องยกย่องตัวละครอีก 2 คนคือ สี จิ้น ผิง กับ Abe จากคำพูดซึ่งมีช่วยเพิ่มบทบาทในการทำงานร่วมกับ UN และสหรัฐกดดันเกาหลีเหนือให้หันมาเจรจาต่อรอง
7.บทบาทของคิม จอง อึน ที่อายุเพียง 33 ปี แต่แสดงบทบาทได้น่าประทับใจมาก ทั้งผู้นำแบบรุนแรงและผู้นำแบบนักการทูต ทำให้คนทั่วโลกประทับใจในการแสดงออกและมีคำพูดที่ประทับใจคนทั้งโลก
8.การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของ 2 ผู้นำก็สำคัญ คือบรรยากาศการประชุมไม่ใช่ในห้องอย่างเป็นทางการอย่างเดียว มีช่วงที่คุยกันสองต่อสองในบรรยากาศกันเอง มีการปลูกต้นไม้ร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์เกิดขึ้นได้ สรุปคือ สร้าง Trust หรือศรัทธาซึ่งกันและกัน เรื่องศรัทธา Trust จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
9.สิ่งที่ต้องคิดคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นดีแล้ว จะไปสู่ความสำเร็จหรือไม่ เพราะในอดีตตั้งแต่ยุคปู่หรือพ่อ เขาก็เคยมีการพยายามแบบนี้แต่ไม่ยั่งยืน ได้เริ่มแต่ล้มเหลว เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำอย่างไรที่จะไม่ย้อนรอยประวัติศาสตร์อันล้มเหลว ให้ไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้
10.ถ้าใช้ทฤษฎี 2R’s ของผม
Reality มองความจริง
Relevance ตรงประเด็น
เกาหลีเหนือตระหนักความจริงว่า จะดำเนินการรุนแรงต่อไปคงจะไม่ได้เพราะเดาไม่ได้ว่า ทรัมป์ จะเล่นบทรุนแรงกลับหรือไม่ ไม่เหมือนยุค Obama ซึ่งไม่มีความกดดันเท่านี้ และสภาพเศรษฐกิจอ่อนแอลงเพราะถูกคว่ำบาตรอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
11.ส่วน ทรัมป์ แสดงตัวตนเขาเองว่า เขาเป็นผู้นำระดับโลกที่สามารถทำสิ่งที่อดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ ทำไม่ได้ มองตัวเองว่า ฉันเก่ง EGO มาก ทรัมป์ คิดไปถึงการจะได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแล้ว
12.ความสำเร็จน่าจะมาจากเกาหลีเหนือต้องการอะไร และฝ่ายสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ต้องการอะไร ถ้าเป็นแบบ win/win เกาหลีเหนือ หากยกเลิกนิวเคลียร์ ครอบครัวคิมยังอยู่ได้หรือเปล่า เขาคงอยากได้ความชัดเจนว่า ถ้าจะเลิกนิวเคลียร์ แน่ใจว่า สหรัฐน่าจะถอนทหารออกไปจากคาบสมุทรเกาหลี
ส่วนจีนอยากให้กองกำลังของสหรัฐในคาบสมุทรเกาหลีถอนออกไปและไม่อยากรับภาระดูแลเกาหลีเหนือถ้าเกิดสงครามขึ้น
เลยต้องติดตามต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี