ท่ามกลางบรรยากาศของ “การดูด” ในวงการเมือง “ดูด” กลายเป็นสินค้าที่สื่อพยายามควานหามาบริการประชาชน เพราะดูเป็นกิริยา “แย่ๆ” และเป็น “การเมืองเก่าๆ” ที่ดู “แปลกปลอมและจอมปลอม” สำหรับยุค “ปฏิรูป”
ดังนั้น ในวันเกิดของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ สื่อก็ไม่พลาดสิครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่า “ปากและใจ” ของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร
สื่อพร้อมใจกันรายงานว่า นักข่าวตั้งคำถามว่า คุณหญิงสุดารัตน์โดนดูดด้วยหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ได้ทำท่าดูดปาก พร้อมกับกล่าวว่า ต้องใช้หลอดดูดไหม พอถามว่า นายกฯ บอกว่าท่านไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น คุณหญิงสุดารัตน์จึงตอบว่า “กลัวจะเป็นรถสีเหลืองๆ น่ะสิ” ซึ่ง “ไทยรัฐ” ทั้งเว็บไซต์และหนังสือพิมพ์ พร้อมใจกันพาดหัวข่าวว่า “รถดูดส้วม” ซึ่งแน่นอน สื่อต้องหากินต่อ รีบเอาคำนี้มาถามรองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พลันก็ได้รับคำตอบที่ “เด็ด” ไม่แพ้กันว่า “คนที่บอกว่าดูดส้วม ผมรู้จักดี เขาต้องพัฒนามากกว่านี้”
แน่นอนครับ หากสื่อคิดแต่จะขายความสะใจ ค้าสงครามน้ำลาย หากินกับมิติ “ซี้ด” อย่างเดียว แค่นี้ก็ “หลั่ง” กันแล้วล่ะครับ แต่อย่าหยุดอยู่แค่นั้น ลองวิเคราะห์ “คำพูด” ของ “สมคิด” กัน ว่าสิ่งที่สมคิดสื่อสารออกมานั้น จริง-เท็จ-ดี-เลว อย่างไร
ดูเนื้อข่าวกันก่อน...
เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ไปพบนายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำ เพื่อทาบทามให้มาร่วมงานกับรัฐบาล ว่า ต้องไปถามนายสนธิรัตน์กับนายอุตตม ทั้งนี้ เรื่องการเมือง ต้องพูดน้อยๆ บ้านเมืองจึงจะเจริญ ถ้าเป็นพรรคที่มีคุณภาพ ก็ควรเอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดเรื่องนโยบายดีๆ ดึงคนเก่งคนดีมีความสามารถมาร่วมทำงาน และเมื่อได้รับเลือกตั้งไปแล้ว ก็สามารถเอานโยบายเหล่านั้นไปพัฒนาประเทศ แต่ถ้ามีพรรคที่คิดแต่เรื่องโจมตีด่าคนนั้นคนนี้ แบบนี้ไม่ใช่การเมือง ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ประชาชนจะเบื่อหน่ายการเมือง อย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยพูดไว้ว่าไม่มีใครไปดูดใคร แต่เหตุที่คนอยากจะย้ายบ้าน เพราะเขาอยู่บ้านนั้นแล้วไม่มีความสุข จึงต้องพัฒนาบ้านให้เป็นบ้านที่คนไทยฝากความหวังได้
“ผมจะแนะนำว่าพรรคการเมืองที่มีในตอนนี้ พยายามคัดสรรคนดีๆ ใช้เวลาไปคิดเตรียมนโยบายเอาไว้ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งแล้ว ถ้าใครได้เป็นรัฐบาลหรือเข้าร่วมรัฐบาลอย่างไร จะได้ไปช่วยกันทำให้บ้านเมืองเจริญ นี่คือสิ่งที่ต้องสื่อความออกไป ไม่ใช่มาดูดนั่นดูดนี่ ไร้สาระ 10 ปีก็อยู่กันแค่นี้ แล้วคนที่บอกว่าดูดส้วม ผมรู้จักดี เขาต้องพัฒนามากกว่านี้ ที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่เคยตอบโต้ เพราะรู้จักทุกคนดี เพื่อนกันทั้งนั้น วันหนึ่งข้างหน้าต้องทำงานร่วมกัน”
เมื่อถามว่าเพราะเหตุผลนี้ใช่หรือไม่ จึงต้องตั้งพรรคมาสานต่องานที่รัฐบาลทำ นายสมคิดกล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนดูสถานการณ์ในขณะนี้และอนาคต ความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนประเทศและความสงบของบ้านเมืองเป็นสิ่งจำเป็น ที่ผ่านมาเห็นอยู่แล้วว่าผลงานของรัฐบาลไปได้ดีเพียงพอ แต่ถ้าใครทำได้ดีกว่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะประชาชนมีสิทธิเลือก แต่ที่จะบอกว่าใครจะมีพรรคสนับสนุนใคร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน
ผู้สื่อถามว่า ช่วงนี้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักการเมืองบ้างหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ตนไม่เคยเจอพวกเขา ตนไม่มีเวลาจริงๆ ตอนไปต่างประเทศ เมื่อเห็นข่าวก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่เป็นอะไร เมื่อมาอยู่การเมือง หน้าที่คือทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า และไม่เคยพูดว่าตนจะไปตั้งพรรคการเมือง บอกแค่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการทำงาน ส่วนพรรคใดจะสนับสนุนหรือทำอะไรก็ตามขึ้นอยู่กับเขา ทุกกลุ่มเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็รู้จักกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนดี พรรคเพื่อไทยก็มีคนดีมาก ต้องคิดอนาคตข้างหน้าว่าถ้าต้องทำงานร่วมกัน แล้วจะทำอย่างไร เราต้องก้าวข้าม ความขัดแย้งทั้งหลาย เอาบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง
นายสมคิด ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 8 พ.ค.นี้ เพราะจ.บุรีรัมย์และศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย นายกฯควรจะต้องไป ส่วนจะมีการต้อนรับอย่างไร หรือมีปัญหาอะไรนั้น เขาก็นำเสนอมาเช่นเดียวกับหลายจังหวัดที่ผ่านมา ไม่มีอะไรพิเศษ เมื่อถามว่าคนจะมองว่ารัฐบาลพยายามไปดูดคนของพรรคภูมิใจไทยหรือกลุ่มอดีตสส.บุรีรัมย์ นายสมคิดกล่าวว่า “ดูดเนวินหรือ” เมื่อถามย้ำว่ารู้จักกับนายเนวิน ชิดชอบ อย่างดีใช่หรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า การเมืองเมืองไทย ทุกคนทุกพรรครู้จักกันหมด อย่าไปคิดว่ามุ้งนั้นมุ้งนี้ ดูดไปดูดมาจะได้มามีอำนาจ ถ้าคิดอย่างนั้น เป็นความคิดที่เก่ามาก จะไม่เจริญ ขอให้คิดให้ใหม่ๆ คิดถึงอนาคตให้มากๆ ทุกคนต้องทำงานเพื่อประเทศทั้งนั้น
ทีนี้ก็มาวิเคราะห์กันครับ
1) เรื่องการเมือง ต้องพูดน้อยๆ บ้านเมืองจึงจะเจริญ
ฉิบหายละ! บิ๊กตู่ไม่เคยหยุดพูดเลย กำลังจะ 4 ปีเต็มๆ แล้วเนี่ย ยังไงดีล่ะคุณสมคิด (ฮ่าๆๆๆ) คุณสมคิดเองก็พูดมากนะครับ ปาฐกถาถี่ยิบเลยไม่ใช่หรือ ความจริงแล้ว “พูดมาก-พูดน้อย” ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ พูดจริงหรือพูดเท็จ พูดอย่างสุจริตและก่อปัญญาหรือไม่ บางคนไม่พูดอะไร เพราะโง่เกินกว่าจะมีความคิดเห็น บางคนก็พูดเพื่อบิดเบือน บางคนก็ยุยงปลุกปั่น บางคนก็ให้หลักการ ท้วงติง ในสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ เช่นนี้แล้ว “ปริมาณ” ของการพูด ที่ว่ามากหรือน้อยนั้น ไม่สำคัญเท่ากับ “เนื้อหาที่พูด” และ “เจตนาที่พูด” ว่าก่อประโยชน์หรือไม่ หลักคิดนี้ของคุณสมคิดจึงใช้ไม่ได้ และสวนทางกับนายกฯ 2 คน ที่คุณสมคิดเคยร่วมงานด้วยและร่วมงานอยู่ คือ นายทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพูดมากทั้งคู่ ดังนั้น ในระบอบประชาธิปไตย เราควรส่งเสริมการพูด แต่ต้องพูดด้วยสติปัญญาและมีเจตนาสร้างสรรค์ ต้องพูดจริง ไม่โกหก ไอ้เรื่องจะบอกให้พูดน้อยๆ นั้น เป็นเรื่องของเผด็จการสันดานดิบ ที่ไม่อยากฟังคนอื่นพูด จะพูดอยู่ข้างเดียว และคิดว่าตัวพูดดีอยู่คนเดียว
2) “ถ้าเป็นพรรคที่มีคุณภาพ ก็ควรเอาเวลาส่วนใหญ่ไปคิดเรื่องนโยบายดีๆ ดึงคนเก่งคนดีมีความสามารถมาร่วมทำงาน และเมื่อได้รับเลือกตั้งไปแล้ว ก็สามารถเอานโยบายเหล่านั้นไปพัฒนาประเทศ”
เอ... ดึงกับดูดนี่ ต่างกันไหมหว่า? ช่างมันเถอะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันว่า มันถึงเวลาที่จะต้อง “ผ่อนปรน” ให้พรรคการเมืองเขาได้ปรับปรุงปฏิรูปตัวเองกันหรือยัง? ไปกดหัวเขาไว้ ไม่ให้กระดุกกระดิกทำอะไรได้เลย มันจะพัฒนากันตอนไหนล่ะ แน่นอน ทุกพรรคต้องเตรียมหานโยบายไว้เป็น “จุดขาย” ของตัวเองแล้วล่ะ แต่ขอว่า อย่าเอา “ยุทธศาสตร์ชาติ” ไปบีบ ไปครอบ จนเขาดิ้นออกนอกกรอบของคุณไม่ได้ก็พอ ไม่อย่างนั้น พรรคการเมือง ที่ควรจะเป็นตัวแทนความต้องการของประชาชน ก็จะเป็นแค่ “พนักงานธุรการ” ของแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำหนดไว้ในสมัยนี้ แต่ไปปฏิบัติกันสมัยหน้า ดังนั้น ควรผ่อนปรนให้เขาประชุมพรรคกันได้แล้ว เขาจะได้เริ่มตั้งแต่เลือกหัวหน้าพรรค เลือกกรรมการบริหารพรรค ประชุมวางแผนนโยบาย ให้รับกันได้กับแผนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะพรรคการเมืองกับนักการเมืองนั้น เราออกแบบไว้ให้เป็น “เครื่องมือของประชาชน” ไม่ใช่เครื่องมือของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง คุณสมคิดอยากเห็นการพัฒนาของฝ่ายการเมือง ก็ไปบอกให้นายกฯ ผ่อนปรนเงื่อนไขเสียทีสิ ไม่ใช่หยุดคนอื่นไว้ แล้วตัวเองเที่ยวถือตะกร้าออกไป “จ่ายตลาดทางการเมือง” แบบที่คนเขาระแวงและครหากันอยู่
3) “แต่ถ้ามีพรรคที่คิดแต่เรื่องโจมตีด่าคนนั้นคนนี้ แบบนี้ไม่ใช่การเมือง ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ประชาชนจะเบื่อหน่ายการเมือง”
อันนี้เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ พอได้แล้ว กับการโต้วาทีทางการเมือง และการโกหกจนตัวเองเชื่อ (ฮ่าๆ) เช่น นักการเมืองพรรคเพื่อไทย จะบินไปพบทักษิณที่สิงคโปร์ แรกทีเดียวมีข่าวว่า บางเขตมีผู้สนใจจะลงสมัครหลายคน จะไปให้นายทักษิณชี้ขาด นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ต้องรีบผลุนผลันออกมาบอกว่า ไม่ได้ไปคุยอะไร แค่คนเขาเคารพกัน คิดถึงกัน แหม...น่ารักน่าเอ็นดู
หรือกรณี นายวัชระ เพชรทอง ที่ออกมาพูดถึงการใช้เงินหว่านซื้อ สส. อันนั้นต้องเปิดเผยข้อเท็จจริง และรับผิดชอบสิ่งที่ตนเองเสนอให้ได้ จะใช้วิธีพูดใส่ร้ายเอาไว้ก่อน แล้วให้อีกฝ่ายมาอธิบาย มาแก้ตัวเอาเองนั้น คงจะไม่ได้ การเมืองแบบนี้ควรจบแล้วพอแล้ว
ตัวอย่างดีๆ ก็เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ออกมาเสนอว่า
“การเมืองของไทย ถ้าจะก้าวไปข้างหน้าสิ่งที่คาดหวัง คือ 1.การเมืองที่แก้ปัญหาของประเทศ ตนพยายามเรียกร้องว่าวันนี้ทำไมเราถึงมาหมกมุ่น ว่าใครจะเป็นพวกใคร จับมือใคร ไปเอาใครมาอยู่ตรงไหน มากกว่าจะบอกว่าคนที่เสนอตัวเข้าสู่การเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า มองปัญหาของประเทศและมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร สร้างสรรค์มากกว่าจะมาตอบโต้กัน ตนถึงบอกว่าหงุดหงิดมาตลอด ทำไมผู้มีอำนาจปัจจุบันชอบมองว่าการเมืองเป็นเรื่องพรรคที่จะมาแข่งกันตอนเลือกตั้ง เรื่องอื่นไม่ให้ทำอะไรทั้งนั้น แล้วมาบอกว่าทำตามกฎหมายที่เขียนมาเพื่อแข่งขันในการเลือกตั้ง โดยไม่เอาเรื่องสาระว่าแข่งขันกันเรื่องอะไร
2.การเมืองที่ลดความขัดแย้ง ถ้าเอาปัญหาของประเทศเป็นตัวตั้งก็ลดความขัดแย้งลงได้ แต่ถ้าทำการเมืองเป็นเรื่องตัวบุคคล ก็กลายเป็นพวกเราพวกเขา เกิดความขัดแย้งกันเอง วันหนึ่งบอกว่าอยากให้การเมืองดี ก้าวหน้า ถึงเวลาแล้วมาบอกว่าเรื่องที่ทำกันมาเป็นวัฒนธรรม เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยก็ต้องทำอย่างนี้ต่อไป ถ้าคิดจะอนุรักษ์แบบเดิม ก็ต้องยอมรับสภาพว่าทุกอย่างจะเป็นแบบเดิม แต่ถ้าอยากได้ของใหม่ ก็ต้องกล้าบอกว่าบางเรื่องที่เคยทำมาต้องเลิกทำแล้ว ก็จะช่วยลดความขัดแย้ง
และ 3.การเมืองที่สุจริต คือปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเหลือน้อยที่สุด หรือหมดไป วันนี้เลยเรื่องที่จะไปคิดมาตรการทางกฎหมายแล้วไปฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เราต้องหาวิธีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน สังคม ความโปร่งใส และคนที่กล้าออกมาตรวจสอบโดยไม่ไปปิดปากเขา และต้องให้รางวัลเพื่อเป็นการถ่วงดุล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้การเมืองเดินไปได้”
พูดอย่างนี้ เสนออย่างนี้ มุ่งไปทางนี้ ดีแน่ๆ ดีกว่าสาดโคลนใส่กันอย่างที่คุณสมคิดท่านว่า แต่ก็ต้องฝากคุณสมคิด ให้ไปดูรายการ “ศาสตร์พระราชา” ทุกคืนวันศุกร์ด้วย เห็นคนเขาบ่นกันระงมว่า เนื้อหารายการไม่เห็นเกี่ยวกับ “ศาสตร์พระราชา” ตรงไหนเลย เห็นบ่นแต่ปัญหาของตัวเอง กับต่อว่าคนอื่น ไอ้อย่างนั้นต้องเลิกด้วยไหม ท่านสมคิด ลองดูให้หน่อยนะครับ
4) นายสมคิดไม่รู้เรื่องการตั้งพรรคใหม่ และการดูด เอ๊ย! ดึงคนไปช่วยงานจริงหรือไม่
ตอนนายสกลธี ภัททิยกุล ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. คุณสมคิดเป็นคนชวนหรือเปล่าครับ? เช่นเดียวกับสองพี่น้องตระกูลคุณปลื้ม ใครเป็นคนทาบทามครับ?
จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องดูข่าวเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาครับ ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขอให้ยุติการพูดถึงข่าวการดึงตัว
นักการเมืองไปร่วมงานในพรรคที่คนในรัฐบาลกำลังจะจัดตั้ง ว่า ตนไม่อยากตอบโต้ไปมา แต่อยากให้ทุกฝ่ายพูดความจริง เพราะคนที่เกี่ยวข้องรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ตนทราบจากผู้เกี่ยวข้องตรงกัน ไม่ใช่อย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้าง ว่า นักการเมืองอยากไปทำงานร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างนายสมคิดที่พูดขัดแย้งในตัวเอง อาทิ กรณีของนายสนธยา คุณปลื้ม ที่อ้างว่าถูกดึงตัวไปช่วยทำโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ขณะที่นายสมคิดบอกว่านักการเมืองต้องการมาทำงานกับรัฐบาลเอง รวมถึงกรณีของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตสส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยอมรับว่าไปพบกับนายสมคิด และพูดคุยเรื่องการเมือง ซึ่งนายณัฏฐพละกำลังตัดสินใจว่าจะไปร่วมงานกับรัฐบาล หรือจะยังทำงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ ตนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสมาชิกย้ายพรรค แต่อยากให้ย้ายเพื่ออุดมการณ์และประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก มากกว่าการที่รัฐบาลจะใช้อำนาจ ผลประโยชน์ และตำแหน่งมาต่อรอง
เมื่อถามว่านายสมคิดระบุว่าพรรคการเมืองควรทำนโยบายดีกว่ามาจับผิดรัฐบาล และพูดเรื่องการดึงตัวสส. หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ย้อนกลับไปดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ทำให้ต้องเสียเวลาในการยืนยันสมาชิกด้วยเวลาที่จำกัด ดังนั้น หากต้องการให้พรรคการเมืองทำนโยบาย นายสมคิดควรบอก คสช.ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ด้วย และขอให้เอาความจริงมาพูดกันจะดีกว่า อย่าใช้ผลประโยชน์หรือตำแหน่งมาต่อรอง เพราะนายสมคิดก็อยู่ในวงเจรจานั้นด้วย
เฮ้อ...การปะติดปะต่อข่าวเข้าด้วยกัน มันเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ อะไรที่ไม่ทันเห็น ก็ได้เห็นภาพที่ชัดขึ้น อะไรที่ไม่ทันเฉลียว ก็ได้เฉลียวและฉลาดขึ้น
อะไรที่ไม่ทันได้คิด ก็เลยเท่าทัน “สมคิด” ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อิอิ...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี