หลังจากสื่อมวลชนนำเสนอข่าวผลประกอบการปี 2560 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีผลขาดทุนสูงมาก ถึง 900,000 ล้านบาท ก็มีการตั้งข้อสงสัย และขอให้มีการชี้แจงสาเหตุ และการป้องกันแก้ไขความเสียหายกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ก็มีการชี้แจงว่ากรณีเป็นเรื่องแค่การขาดทุนทางบัญชี และเกิดขึ้นจากการเข้าซื้อเงินดอลลาร์มาถือไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำลง จึงมีผลขาดทุนเกิดขึ้น
แล้วก็อ้างอีกว่า กรณีตรงกันข้ามกับเมื่อครั้งเกิดเหตุต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ.2540 เพราะในครั้งนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขายเงินดอลลาร์ออกไปมากเกินไป ครั้นเงินดอลลาร์แข็งตัวขึ้นจึงมีผลขาดทุน ซึ่งผลขาดทุนครั้งนั้นก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีจำนวนสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท และเป็นเหตุให้ต้องเอาประเทศไทยไปจำนำกับ IMF
นั่นเป็นความเสียหายครั้งใหญ่หลวงที่สุดของประเทศชาติ และผลจากครั้งนั้นก็มีการประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัว หมายความว่าไม่ว่าเงินบาทจะแข็งหรือจะอ่อน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ จะต้องปล่อยให้การแข็งและอ่อนนั้นเป็นไปตามธรรมชาติของตลาด เพื่อป้องกันเหตุเสียหายไม่ให้ซ้ำรอย
ประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาทดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ดังนั้น ไม่ว่าเงินบาทจะอ่อนหรือจะแข็ง ก็ห้ามมิให้แทรกแซงซื้อดอลลาร์ หรือขายดอลลาร์มาถ่วงดุลเป็นอันขาด
ก็น่าคิดว่าถ้ามีใครฝ่าฝืนการลอยตัวค่าเงินบาทดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 แล้ว จะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร
เพราะไม่ว่าการซื้อหรือขายเงินดอลลาร์เพื่อที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งลง ย่อมเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนการลอยตัวค่าเงินบาททั้งสิ้น และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายซ้ำรอยได้ทั้งสิ้น
เพราะถ้าซื้อเงินดอลลาร์เข้ามามากเพื่อที่จะถ่วงให้ค่าเงินบาทไม่แข็งตัวเกินไป ก็เป็นการแทรกแซงค่าเงินบาทแล้ว และเสี่ยงต่อการเกิดผลขาดทุนเสียหาย เพราะถ้าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงก็จะเกิดผลขาดทุนและเสียหาย
หรือถ้าขายเงินดอลลาร์ออกไปมาก เพื่อที่จะพยุงให้ค่าเงินบาทไม่อ่อนตัวเกินไป ก็เป็นการแทรกแซงค่าเงินบาทเช่นเดียวกัน และเสี่ยงต่อการเกิดผลขาดทุนเสียหาย เพราะถ้าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นก็จะเกิดผลขาดทุนและเสียหาย
กรณีผลขาดทุน 900,000 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นคือกรณีที่ซื้อเงินดอลลาร์เข้ามามากเกินไป เพื่อทำให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเกินไป ดังนั้น นับแต่วันที่ซื้อก็ถือได้ว่าเป็นการแทรกแซงค่าเงินบาท ขัดต่อประกาศลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และเกิดความเสี่ยงต่อผลขาดทุนเสียหายทันที
และในที่สุดเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นทั้งๆ ที่มีผู้คนท้วงติงตักเตือนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องว่าค่าเงินดอลลาร์กำลังจะลดค่าลงเพราะสถานการณ์โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่กลับมีการดูถูกดูแคลนคำท้วงติงเหล่านั้น เพราะทะนงว่าแผ่นดินนี้ไม่มีใครรู้เรื่องค่าเงิน
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์การเมืองโลกเป็นไปตามที่มีการท้วงติง คือประเทศกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้เทขายเงินดอลลาร์และเปลี่ยนไปใช้เงินหยวน และเงินตราระหว่างผู้ค้าแทนเงินดอลลาร์ ทั้งประเทศผู้ขายน้ำมันของโลกก็รับเงินหยวนในการขายน้ำมันแทนที่จะรับแต่เงินดอลลาร์สกุลเดียว
ที่สำคัญคือ เงินหยวนที่เพิ่มการใช้ในขอบเขตทั่วโลก ได้ใช้ทองคำเป็นเงินทุนสำรองหนุนหลัง ในขณะที่เงินดอลลาร์ไม่มี
ทรัพย์สินใดๆ หนุนหลัง
ด้วยเหตุเหล่านี้จึงทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงโดยลำดับแม้จะใช้มาตรการสารพัดเพื่อพยุงค่าเงินดอลลาร์ไว้แต่ไม่ได้ผลทุกมาตรการล้มเหลวสิ้นเชิง จนเป็นที่น่าวิตกว่าในอนาคตเงินดอลลาร์อาจจะลดค่าลงไปอีก ซึ่งหมายความว่าผลขาดทุนเสียหายก็จะเพิ่มขึ้นจากจำนวน 900,000 ล้านบาท แต่จะเพิ่มขึ้นไปเท่าใดยากที่จะตอบได้ แต่ที่สามารถตักเตือนได้ก็คือมีแต่จะลดค่าลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแน่นอน
ดังนั้นผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากการฝ่าฝืนการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท โดยเข้าแทรกแซงค่าเงินบาท และเป็นผลขาดทุนจากการซื้อเงินดอลลาร์เข้ามามากเกินไป
ที่ซื้อเงินดอลลาร์เข้ามามาก ถ้าพูดกันตรงไปตรงมาก็คือเก็งเหตุการณ์ผิด คิดว่าเงินดอลลาร์จะไม่ตกต่ำลงถึงระดับที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และถ้าคาดถูกต้องว่าฐานะเงินดอลลาร์จะเป็นเช่นทุกวันนี้ก็คงไม่กล้าซื้ออย่างแน่นอน และอาจจะขายเงินดอลลาร์ออกไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะมีผลกำไร ตรงกันข้ามกับผลขาดทุนที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้นผลขาดทุน 900,000 ล้านบาท จึงเกิดขึ้นจากการเก็งเงินดอลลาร์ผิดพลาด เพราะเก็งสวนทางกับการเก็งค่าเงินดอลลาร์ ในปี 2540 ซึ่งถ้าหากเก็งค่าเงินดอลลาร์เหมือนปี 2540ก็จะมีผลกำไรหลายแสนล้านบาท
น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบ และคำชี้แจงนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความดูแคลนคำท้วงติงทั้งหลายว่าที่ทำกันอยู่ตรงกันข้ามกับปี 2540 เป็นทำนองว่าจะไม่เกิดความเสียหายเหมือนปี 2540 ซึ่งน่าห่วงใยเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะผลขาดทุนนั้นไม่ใช่อยู่ตรงที่เก็งตรงกันข้าม หรือเก็งตามที่เคยเก็งเมื่อปี2540
แต่สาระสำคัญอยู่ที่ค่าของเงินดอลลาร์เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยหลักของการคาดการณ์ เมื่อคาดการณ์สถานการณ์เงินดอลลาร์ผิดคาด จึงเกิดความเสียหายขึ้น
ส่วนข้ออ้างที่ว่าเป็นเพียงการขาดทุนทางบัญชี ประหนึ่งว่าผลขาดทุนทางบัญชีไม่ใช่ผลขาดทุนแท้จริงฉะนั้น
นักบัญชีทั่วประเทศควรช่วยกันตอบเรื่องนี้ว่าการขาดทุนการบัญชีนั้น เป็นการขาดทุนจริงหรือไม่ และเป็นมาตรฐานทางบัญชีที่ยอมรับนับถือกันทั่วโลกหรือไม่
ก็จะมีคำตอบเป็นอย่างเดียวกันว่า ผลขาดทุนทางบัญชีนั้นก็คือผลขาดทุนจริง และยอมรับนับถือกันว่าเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกนับถือปฏิบัติเช่นเดียวกับการกำไรทางบัญชี ก็คือการกำไรจริง และเป็นไปตามมาตรฐานที่นับถือทั่วโลก
ที่ว่าขาดทุนทางบัญชีนั้นมีความหมายเพิ่มเติมอีกว่า ผลขาดทุนนั้นยังไม่เด็ดขาด ยังมีความเสี่ยงที่ขาดทุนเพิ่มมากขึ้นอีก ถ้าหากเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงไปอีก แต่อาจมีโอกาสฟื้นกระเตื้องขึ้นถ้าหากเงินดอลลาร์มีค่าแข็งขึ้น
ดังนั้นผลขาดทุน 900,000 ล้านบาท จึงมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกถ้าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก ไม่ได้หมายความดังที่พยายามให้เข้าใจว่าไม่ได้ขาดทุนจริงๆ เลย
ที่น่าวิตกมากที่สุดก็คือ เมื่ออ้างว่าเป็นการขาดทุนทางบัญชีแล้วก็ไม่ได้มีการบอกกล่าวว่าจะมีมาตรการอย่างไรที่จะแก้ไขผลขาดทุนเสียหายนั้น นี้มิใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมดอกหรือ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี