เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับบรรดานายทหารที่ทำการปฏิวัติเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการมาเป็นเวลา 4 ปีเต็ม และเมื่อ พ.ศ. 2560 ได้ประกาศใช้รัฐธรรมที่มีสาระสำคัญที่ผ่อนคลายอำนาจจากการปกครองจากระบอบเบ็ดเสร็จเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งกำลังจะคลายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ คือ ให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงในทางการเมืองได้บ้าง
ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลในการปฏิวัติ นอกจากเพื่อระงับความวุ่นวายทางการเมืองแล้วยังกล่าวแสดงความรังเกียจนักการเมืองด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อถึงวาระที่จะคลายอำนาจให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยกลับเปลี่ยนท่าทีโดยนำอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคเข้ามาเป็นกำลังในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
โดยตัวพลเอกประยุทธ์ และสมุนคู่ใจถึงกล่าวถึงการดึงสมาชิกการเมืองหลายพรรคมาทำงานจนถูกกล่าวหาว่า “ดูด” (ซึ่งไม่ต่างจากการเมืองน้ำเน่าในอดีต) เพื่อร่วมกับพรรคที่สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลโดยไม่จำเป็นเพราะคะแนนสนับสนุนในวุฒิสภาซึ่งเป็นฐานสำคัญบวกกับความนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์เองก็มี แต่เมื่อเกิดปัญหาเรื่อง “ดูด” ขึ้น อาจจะได้สมาชิกสภาผู้แทนฯ มาก (แต่อาจไม่แน่) ก็ตาม แต่ความนิยมของประชาชนโดยทั่วไปลดลง ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 แม้จะมีประชาชนที่รักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่พอใจเช่นในอดีตที่เกิดเหตุการณ์เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 อาจซ้ำรอยขึ้นมาอีกได้
อย่างไรก็ตาม ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับความนิยมมากเมื่อทำการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลที่ประชาชนในขณะนั้นไม่ชอบ แต่เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวผ่านไป ความคิดของประชาชนที่ต้องการเห็นประเทศมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ มิใช่การปกครองระบอบ “คณาธิปไตย” หรือ “อภิชนาธิปไตย” โดยหวังว่าคณะปฏิวัติภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขจัดนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายที่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงหรือใช้อิทธิพลให้หมดสิ้นไป
แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมืองขณะนี้กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความปรารถนาดีต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติตลอดมา จึงใคร่เห็นคณะรัฐประหารชุดนี้สร้างความหวังให้แก่สังคมไทยโดยขจัดนักการเมืองชั่วที่อาศัยกติกาประชาธิปไตยเข้ามาเป็นเหลือบสูบเลือดประชาชนให้หมดไปและสร้างความหวังที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ถ้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติต้องการสานต่อการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยภายใต้กติกาใหม่ด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองด้วยการนำเอานักการเมืองที่มีพฤติกรรมที่เคยประณามเข้าเป็นฐานแล้ว ขอให้คำนึงถึงประวัติศาสตร์ซึ่งอาจซ้ำรอย นั่นหมายถึง “วงจรอุบาทว์” จะกลับสู่การเมืองไทยในอนาคตอันไม่ไกลนี้แน่นอน
สุดท้ายนี้แม้นักธุรกิจการเมืองที่มีอำนาจที่อาศัยบารมีของคณะปฏิวัติจะกล่าวว่า การ “ดูด” ในสังคมการเมืองของไทยเป็นของธรรมดาก็ตาม แต่ใคร่ขอฝากความเห็นว่า ถ้าจะ “ดูด” ก็ขอให้ “ดูด” นักการเมืองน้ำดีไม่ใช่ “ดูด” นักการเมือง “น้ำเน่า”
เพราะจะทำให้ประชาธิปไตยของไทย “ท้องเสีย” จนต้องหาหมอมารักษาอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี