รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งน้อยนักที่จะอยู่ครบ 4 ปี แต่มาวันนี้รัฐบาลชั่วคราวเพื่อการปฏิรูปก่อนเปลี่ยนแปลงประเทศ กำลังจะครบ 4 ปี อีกไม่กี่วันนี้และมีแนวโน้มจะอยู่เลยไปอีกอย่างน้อยเกือบปีก่อนถึงวันเลือกตั้ง มีอะไรที่แตกต่างกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดีกว่า แย่กว่า ข้อจำกัด หรือเหตุปัจจัยพิเศษ หรือแม้ช่วงสุดท้ายก่อนจะถึงเวลาเลือกตั้ง มีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างจากรัฐบาลในเวลาการเมืองปกติ
ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณแล้วว่าบางส่วนของรัฐบาลชุดนี้อาจจะมาตั้งพรรคการเมืองเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า? ในขณะที่รัฐบาลเองก็มีการออกไปจัด ครม.สัญจร ในหลายจังหวัดเพื่อพบกับกลุ่มก๊วนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ นี่เป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างหรือไม่? และยังมีข่าวลือเรื่องการดึงตัวอดีตนักการเมืองจากพรรคต่างๆ เข้าร่วมงานรัฐบาลชุดปัจจุบันในโค้งสุดท้าย เป็นผลให้พรรคการเมืองต่างต้องรีบออกมาเช็คขุนพลตนเองว่ายังอยู่ครบถ้วนหรือไม่?
เช่นนั้นแล้วมีคำถามว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการลงพื้นที่ของ คสช. คืออะไรกันแน่? เป็นความต้องการเจาะพื้นที่ทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน หรือเพื่อต้องการสลายขั้วทางการเมืองเพื่อลดความขัดแย้งเช่นนั้นหรือ? และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็น่าจะมีผลต่อการเคลื่อนย้ายสังกัดของอดีต สส.ในภาคอีสานจากพรรคต่างๆ และยิ่งถ้าทำสำเร็จก็อาจจะส่งผลต่อการลดการผูกขาดพื้นที่ในภาคอีสาน พูดง่ายๆ ก็คือต่อไปเราอาจไม่ได้ยินว่าภาคใดเป็นพื้นที่ของสีใด แต่นั่นต้องนำไปสู่เป้าหมายเพื่อลดความขัดแย้งสลายขั้วทางการเมืองในพื้นที่จริงๆ ต้องไม่ใช่การช้อนปลาในบ่อคนอื่นมาใส่บ่อตนเอง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวพรรคการเมืองเจ้าของสังกัดเดิมย่อมไม่อยู่เฉย
ไม่รู้ว่าด้วยความคิดถึงในฐานะเพื่อนเก่า หรือถูกเรียกตัวหรือมีประเด็นอะไร ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงบังเอิญมีอดีต สส. พรรคใหญ่ ต่างบินไปเยี่ยมนายเก่าถึงประเทศสิงคโปร์ เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรก พบว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาในช่วงที่มีประเด็นอะไรพิเศษทางการเมือง จะพบข่าวกลุ่มอดีต สส. เผอิญบินไปพบคนสำคัญ ที่ จีน ฮ่องกง ดูไบ สิงคโปร์ และแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านหลายครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นายเก่าบินไปประเทศนั้นๆ พอดี และกลับมาพร้อมการเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองบางอย่างตามมาใช่หรือไม่?
แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คุณทักษิณก็เป็นคนออกมาพูดเองว่า “ผมไม่เกี่ยวกับพรรค และพรรคไม่อนุญาตให้ผมเกี่ยวข้อง” เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าจะเป็นทางโฆษกสำนักนายกฯ หรือ สนช.บางคนที่ออกมาพูดทำนองว่ามีประเด็นที่เกี่ยวข้องทางการเมืองหรือไม่? เพราะเอาเข้าจริงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น? หากแต่จะต้องดูหลังจากนี้ต่างหาก โดยหลังจากที่นักการเมืองกลุ่มดังกล่าวกลับมาแล้ว จะมีการเคลื่อนไหวหรือพูดอะไรที่ทำให้เข้าใจได้ว่ามีความเกี่ยวเนื่อง หรือถูกครอบงำทางการเมืองหรือไม่? หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อสถานะของพรรคเพื่อไทยหรือไม่?โดยเฉพาะคนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคใช่หรือไม่? หากแต่การไปพบเป็นเพราะคิดถึงก็คงจะไม่ผิด แล้วก็ไม่ควรไปจำกัดสิทธิเสรีภาพด้วย แล้วอะไรที่ทำให้ คสช. กังวลในตอนนี้ แล้วอะไรที่ทำให้บรรดา สส.พรรคนี้ จึงเกิดคิดถึงคุณทักษิณขึ้นมาในตอนนี้?
ด้านกระแสการดูด สส. จากมุ้งต่างๆ ตั้งแต่ซุ้มชลบุรีสุโขทัย รวมถึง 3 วันก่อน ก็มีข่าวไปบุรีรัมย์ ตามมาด้วยกระแสข่าวลือการเชื่อมต่อกลุ่มอื่นๆ ด้วย ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทยสายอีสาน พลังดูดที่ว่าน่ากลัวก็เพราะว่าเป็นการเปิดโต๊ะเจรจาแบบคุยได้ทุกฝ่าย เงื่อนไขก็แตกต่างกับที่พรรคต่างๆ เคยทำมาใช่หรือไม่? ถึงได้นำมาซึ่งการเข้าร่วมรัฐบาลแบบมีตำแหน่งโดยทันทีของกลุ่มก๊วนการเมืองต่างๆ พลังดูดที่ว่านี้จึงเป็นแรงดึงดูดกับอดีต สส.ที่เหลืออยู่ไม่น้อยต่อความมั่นคงในการลงเลือกตั้ง สส. ครั้งหน้าไม่ว่าอยู่ฝั่งใดก็ตาม
และไม่ว่าข่าวลือนั้นจะจริงหรือไม่? แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วการที่รองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวในทำนองตำหนิติเตียนคนในพรรคที่กำลังจะย้ายเพราะพลังดูด ซึ่งพูดค่อนข้างแรงเหมือนเป็นการส่งสัญญาณจากบิ๊กแกนนำข้างใน และอีกไม่กี่วันถัดมาก็ไม่รู้ว่ามีการเรียกตัว หรือนัดพบอดีต สส. หลายคนพร้อมทั้งคนสนิทที่พร้อมใจบินไปพบคุณทักษิณ ในขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยพูดว่าไปเยี่ยมเยียนเพราะความรัก ความผูกพัน ไม่ใช่เพราะเรื่องการเมือง แต่อยู่ๆคนที่ออกมาพูดเรื่องการเมืองเองกลับกลายเป็นคุณทักษิณ ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการดูดไม่ดูด สส. และพูดย้ำด้วยอีกว่าไม่ได้กังวลเพราะเชื่อว่ายังดึงไหว แถมตบท้ายด้วยว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาได้คะแนนท่วมท้น ตกลงแล้วไปด้วยความคิดถึงหรือไปเพราะเรื่องการเมืองกันแน่? คำพูดของคุณทักษิณเองจึงน่าสนใจที่จะเข้าประเด็นจับตาของ คสช. และมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดของอดีต สส. ที่ไปพบ
กระแสข่าวลือในครั้งนี้ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสส.ที่จะโดนดูดไปจะไปด้วยสาเหตุอะไร หากเป็นปัจจัยทางการเงินนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศก็คงคิดว่าน่าจะสู้ได้ หรือหากเป็นผลประโยชน์ทางด้านอำนาจก็น่าจะสามารถต่อรองได้ แต่สิ่งที่ไม่น่าจะทำได้ก็คือการช่วยเหลือทางด้านคดีความที่อดีต สส.พรรคเพื่อไทยที่มีติดตัวอยู่ไม่น้อย? ทำได้เพียงแต่คาดเดา อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นเซียนเรื่องการดูด สส. อาจคิดว่า พลังดูดที่ดีที่สุดคือเงินใช่หรือไม่? เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในปี’43 ’44 และ ’48 พรรคใด? หัวหน้าพรรคการเมืองใด? อดีตผู้มีอำนาจคนใด? กลุ่มธุรกิจใด? มีพลังดูดแรงที่สุด เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ สุดท้ายจึงย้อนกลับมาเป็นสิ่งที่ท้าทายทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่งใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวอีกกระแสหนึ่งว่าอดีตสส.กลับไปไม่ได้เยอะอย่างที่คาด สำทับด้วยท่าทีของแกนนำเสื้อแดง ที่ดูเปลี่ยนไป และพูดในทำนองว่าจะเดินหน้าจัดตั้งพรรคการเมือง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีทุน และประสงค์จะทำให้พรรคนี้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ของกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง แสดงว่าที่ผ่านมาพรรคการเมืองที่ตนเองเคยสนับสนุนอยู่เป็นเช่นไร? ประกอบกับความไม่ชัดเจนของผู้นำคนใหม่ของพรรค ที่จนขณะนี้ ยังไม่เคาะระหว่างสองขั้วแกนนำที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีทั้งคู่ใช่หรือไม่? ยิ่งสะท้อนภาพรอยร้าวในก๊วนพรรคเพื่อไทยมากขึ้นไปอีก?
ในขณะที่นักการเมืองหลายคนเริ่มหันไปสนใจการเมืองท้องถิ่นแทนบ้างแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนการเลือกตั้ง สส. ซึ่งหากตกลงกันได้ กลุ่มก๊วนการเมืองพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นหัวรุนแรงในพรรค ก็คงไม่อยากจะมีความขัดแย้งกับใคร และอย่างน้อยก็สามารถรักษาฐานเสียงการเมืองในพื้นที่เอาไว้ก่อนได้ จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ท้าทายอนาคตของพรรคเพื่อไทยในยุคที่พลังดูดมาแรง
ดังนั้นแล้ว ความพยายามเคลื่อนไหวจุดไฟของกลุ่มคนที่อยากเลือกตั้งซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเดินไปได้ดีพอสมควร ผสานกับการเคลื่อนไหวมวลชนในเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เริ่มจุดไฟติดบ้างแล้ว รวมถึงการวางหมากเกมพรรคแนวใหม่ต่างๆ เพื่อแบ่งตลาดทางการเมือง ซึ่งเริ่มไปสักระยะหนึ่งแล้ว แต่หากสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังเป็นเช่นนี้ ไฟที่เริ่มจุดไฟนานอาจจะมอดได้ก่อนเผด็จศึก คสช.อาจจะคิดว่าเป็นโอกาที่ดีที่จะเลือกยึดเอาความมั่นคงของประเทศเป็นที่ตั้ง ควบคุมปัญหาเฉพาะหน้าอย่างมีสติ และอาจมองว่าในเวลานี้การทอดเวลาบางอย่างให้ยาวขึ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละทิ้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเฉพาะปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงโดยเฉพาะนักลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กของประเทศ ที่ชะลอการลงทุนมากในขณะนี้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล ถ้าหากไม่แก้ในจุดนี้ปัญหาอาจจะวกมาใหม่ และอาจควบคุมไม่ได้
ในขณะที่ภารกิจหลักของรัฐบาล คสช. คือการจัดการปัญหาความวุ่นวายภายในประเทศ และการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ในวันนี้ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว ภารกิจเรื่องการขจัดความวุ่นวายอาจเป็นที่ยอมรับ หากแต่ภารกิจเรื่องการปฏิรูปประเทศยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจน และวันนี้ก็เพิ่งจะมีการประกาศเรื่องการปฏิรูปประเทศใหม่อีกครั้ง พร้อมด้วยมาตรการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรทำมาตั้งแต่แรก แม้จะสัญญาว่าจะทำให้เห็นผลภายใน 8 เดือนก่อนหมดวาระ แต่ความหวังและความอดทนของประชาชนอาจใกล้หมดลงทุกที ดังนั้นหากรัฐบาล คสช. มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ ควรเร่งแก้ปัญหาที่ควรจะทำก่อน ให้ตรงจุดตามลำดับความสำคัญ เพราะนี่คือการให้โอกาสครั้งสุดท้ายจากประชาชน...
“...ไม่ว่าความรักของนางหวานชื่นหรือขมขื่น
อย่างน้อยก็มีความสุขมากกว่าบุคคลที่มิเคยมีความรักมาก่อน...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง วีรบุรุษเจ้าสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี