เกาหลีเคยตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นอยู่ร่วม 30 ปี จนเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงได้เอกราชคืน แต่ก็ต้องมาเผชิญกับการรบราฆ่าฟันกันเอง ประชาชนต้องทุกข์ระทมกับสงครามกลางเมือง โดยฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายเหนือ) มีพี่เบิ้มคอมมิวนิสต์โซเวียตรัสเซีย และจีน ถือหาง อีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายใต้) มีสหรัฐอเมริกา และประเทศฝ่ายโลกเสรี สนับสนุนค้ำจุนด้วยมติองค์การสหประชาชาติ (ในขณะนั้น ผู้แทนโซเวียตรัสเซีย ตัดสินใจเดินออกจากห้องประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เปิดโอกาสให้มีมติให้สหประชาชาติส่งกองกำลังไปช่วยเกาหลีฝ่ายโลกเสรี ต่อสู้กับเกาหลีฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์)
สงครามกลางเมืองในครั้งนั้นไม่ได้มีผลออกหัวหรือก้อย หากแต่จบที่การเจรจาหยุดยิง และแบ่งแยกเกาหลีออกเป็น 2 ส่วน คือ เกาหลีเหนือ (คอมมิวนิสต์) และเกาหลีใต้ (ไม่เอาคอมมิวนิสต์ แต่ปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร) โดยสร้างเขตแดนประชิดกัน เป็นเขตปลอดทหาร (Demilitarized zone) มีกองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเผชิญหน้ากันอยู่จนทุกวันนี้ (ปัจจุบัน ไทยเองยังมีกองทหารติดต่อประสานงานเล็กๆ อยู่ด้วยภายใต้ธงฟ้าสหประชาชาติ)
ทางเทคนิคจึงถือได้ว่า เกาหลีทั้ง 2 ยังคงอยู่ในสภาวะสงครามที่ไม่มีการสู้รบต่อกันและกัน แต่ก็มีสงครามก่อกวนประสาท โฆษณาชวนเชื่อกันไปตามเรื่อง และการเจรจาจัดทำข้อตกลงสันติภาพก็ยังมิได้เกิดขึ้น
ในขณะที่ เกาหลีเหนือ ยังคงความเป็นคอมมิวนิสต์ บวกลัทธิบูชาองค์บุคคลและครอบครัวคิมหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นครอบครัวที่ครองอำนาจจากรุ่นปู่ ถึงรุ่นหลาน 3 ชั่วคน มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนเกาหลีใต้ ได้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ก้าวพ้นระบอบเผด็จการทหาร มาเป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยระบบเสรีนิยมทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจการค้า
ในทางตรงกันข้าม เกาหลีเหนือ ได้ก้าวไปเป็นประเทศก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการทหาร จนถึงขั้นเป็นประเทศครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ด้านอื่นๆ จัดได้ว่าเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยเหตุที่ต้องทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อการทหาร ก็เพื่อความอยู่รอดและคงระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ และลัทธิผู้นำนำพาไว้ อีกทั้งเป็นการป้องกันตัวเอง และใช้เป็นอำนาจต่อรองด้วย
โดยที่ผ่านๆ มา ก็ได้มีความเพียรพยายามของเกาหลีทั้ง 2 ฝ่าย และประชาคมโลกในการใฝ่หาสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ มีแต่การเจรจาที่เป็นแบบไปหนึ่งก้าว ถอยหลัง 2 ก้าว มาโดยตลอด จนเมื่อเกาหลีเหนือทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และจรวดระยะกลางและไกลได้สำเร็จ ก็ได้สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วคาบสมุทรเกาหลี ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการคุกคามกองกำลังสหรัฐฯ ในภูมิภาคคาบสมุทรแปซิฟิกโดยตรง และคุกคามต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น ที่คนเกาหลีจงเกลียดจงชังเป็นอย่างยิ่ง
การดำเนินการในช่วง 10-20 ปีของเกาหลีเหนือ ดูไม่มีผู้ใดทัดทานได้ ผู้นำสหรัฐอเมริกาต่างๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีท่าทีแข็งขันแข็งแกร่ง หรือเอาจริงเอาจังอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้นำเกาหลีเหนือได้ใจ และจีนกับรัสเซียก็ดูจะพอใจเพราะมีเกาหลีเหนือเป็นหอกข้างแคร่ให้กับสหรัฐอเมริกาและฝ่ายตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่นที่เป็นคู่แข่งในเวทีโลกกับตน
ผลสำเร็จของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาคใกล้และไกลอย่างแน่ชัด เพราะว่าโลกขาดผู้นำที่จริงจังต่อปัญหาเหล่านี้
แล้ววันหนึ่ง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ และเห็นว่าผู้นำสหรัฐฯ คนก่อนๆ โดยเฉพาะ บารัค โอบามา ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่อ่อนแอ ไม่หนักแน่นจริงจัง เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เกาหลีเหนือสามารถพัฒนาแสนยานุภาพมาจนถึงขั้นนี้ได้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป และประกาศอย่างชัดเจนว่า เกาหลีเหนือต้องยุติและยกเลิกกิจการอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด
เรียกว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เอาจริงในเรื่องนี้ จนส่งผลให้พี่เบิ้มของเกาหลีเหนือ คือจีน และมิตรสนิทคือ รัสเซีย จะนิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะต่างได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตร ทั้งด้วยมติสหประชาชาติ และของสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีกด้วย และอีกทั้งถ้าจะไม่ทำอะไรเลย ก็จะเสียหน้า ว่าเป็นพี่เบิ้มโลกเผด็จการได้อย่างไร ถึงควบคุมเกาหลีเหนือไม่ได้ ก็เลยต้องออกแรงกับเกาหลีเหนือ (นอกจากนั้นจีนก็กลัวว่า ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลี ตนเองจะต้องรับภาระผู้อพยพเกาหลีเหนือเป็นล้านๆ คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)
ส่วนเกาหลีเหนือเองก็เริ่มตระหนักเป็นครั้งแรกว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มิใช่นักการเมืองอาชีพอย่างที่เคยเผชิญหน้ามา หากแต่เป็นนักปฏิบัติ และเป็นนักธุรกิจ มาตลอดชีวิต จึงลงมือแบบที่ต้องการเห็นผลจับต้องได้ ครั้นตนเองจะทำทองไม่รู้ร้อน ลุยต่อไป ก็คงไม่พ้นจะต้องเจอของหนักเป็นแน่ แค่ประสบกับการคว่ำบาตรแบบสมบูรณ์แบบ ก็คงหมดตัวแล้ว จึงตัดสินใจเริ่มผ่อนเบาลง
แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อมีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ก็เลยกลายเป็นช่องเปิด (Opening) ให้เกาหลีใต้ได้ข้องแวะกับเกาหลีเหนือโดยตรง จากการเตรียมการไปจนถึงการร่วมเป็นทีมเดียวกัน เช่น กีฬาฮอกกี้น้ำแข็งหญิง หรือการเดินพาเหรดร่วมกัน และเมื่อพบปะกันเรื่องโอลิมปิกแล้ว ก็ถือโอกาสพูดเรื่องความสัมพันธ์ทั่วไปด้วย และผู้นำคณะทีมนักกีฬาเกาหลีเหนือก็คือ น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ
ก็หมายความว่า การพบปะมีความสำคัญยิ่ง จากนั้นเรื่องก็พัฒนาไปสู่การพบปะระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 27 เมษายนนี้ ที่เขตปลอดทหาร ซึ่งได้มีการออกแถลงการณ์ร่วม ปูทางการสร้างความสัมพันธ์ต่างๆ จากการยุติสภาวะสงคราม ไปจนถึงการสร้างสันติภาพ และความร่วมมือทุกเรื่อง และการปูทางเพื่อการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วย
ผลที่จำต้องได้ทันที คือการยกเลิกการใช้ระบบเสียงด่าทอ และโฆษณาชวนเชื่อข้ามเขตปลอดทหาร การระงับการสู้รบ ไปจนถึงเกาหลีเหนือประกาศระงับกิจการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
โลกหายใจทั่วท้องขึ้น และเริ่มมองเห็นสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี
ทั้งโลกต่างชื่นชมผู้นำเกาหลีทั้ง 2 ที่ได้เริ่มพูดจากัน ที่ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมกัน และรับที่จะพบปะกันอีกในระดับผู้นำ และคู่ขนานไปกับการพบปะในระดับอื่นๆ ต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ให้ก้าวหน้า สัมฤทธิผล ไปเรื่อยๆ
ทั้ง 2 ผู้นำคงตระหนักว่า การยืนหยัดแบบกระต่ายขาเดียว เอาแต่ความต้องการของตนนั้น ไปไม่รอด ไม่เป็นผลดีแก่ทั้ง 2 ฝ่าย และเป็นตัวปัญหาให้กับประชาคมโลก
ผู้นำทั้ง 2 ตระหนักว่า ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี เป็นเรื่องของ 2 เกาหลีเป็นการเฉพาะ จะมัวคอยพึ่งพาประเทศอื่นๆ ไม่ได้ ทั้ง 2 ต้องคิด ต้องเริ่มต้นกันเอง และที่สำคัญต่างเป็นคนชาติเดียวกัน แล้วทำไมจะเป็นศัตรูกันต่อไป สันติภาพและการรวมตัวกำลังจะนำมาซึ่งผลดีในทางบวก และเสริมสร้างความยิ่งใหญ่ของเกาหลีเท่านั้น
ณ วันนี้ ทั้งคู่จึงต่างต้องยอมรับระบบการเมืองที่ต่างกัน ซึ่งวันนี้ ทั้งคู่จึงต้องพยายามที่จะปรับตัวเข้าหากัน
ผู้นำเกาหลีทั้งสองฝั่ง เขาคิดเรื่องชาติมาก่อน เมื่อคิดได้แล้วก็ต้องวางอีโก้ของตนลง และลงมือมุ่งมั่นทำให้ได้ผล
ซึ่งทั้งหมดนี้ ประชาคมโลกและชาวเกาหลี นอกจากจะชื่นชมผู้นำเกาหลีทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ควรได้ให้เครดิตแก่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อีกด้วย ที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง แสดงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวต่างๆ จนนำไปสู่การหันหน้าเข้าหากันของเกาหลีทั้ง 2 ฝ่าย เพราะหากปราศจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว ดีลการสงบศึกของฝ่ายเกาหลีเหนือและใต้ครั้งนี้ อาจจะต้องรอไปอีกนานกว่าจะเกิดขึ้นได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี