มีความพยายามบิดเบือนในทำนองว่า คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นการกล่าวหาทางการเมือง ไม่มีมูลความจริง โครงการนี้สร้างแล้วชาวบ้านก็ได้เข้าไปอยู่จริง ไม่มีความเสียหาย แถมปัจจุบันราคาสูงกว่าเดิม หากขายต่อก็มีกำไร แล้วมันจะโกงกันได้อย่างไร
การอ้างเช่นนี้ เป็นความพยายามดิ้นรนบิดเบือนแบบสีข้างแหก
เพราะประเด็นของคดีนี้ไม่ใช่ว่า โครงการทำให้ผู้บริโภค หรือประชาชนผู้ซื้อบ้านเสียหาย เพราะถ้าเป็นกรณีเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องในคดีระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายปกติ ไม่ใช่อาญาของนักการเมืองทุจริต
แต่ประเด็นของคดีที่นำขึ้นไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะนี้ คือ มีการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเพื่อให้ได้รับโควตาก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรจากการเคหะแห่งชาติ หรือไม่?
หากไม่มีพฤติการณ์เช่นว่า ก็ไม่มีความผิด
หากมีพฤติการณ์เช่นว่าจริง ก็เข้าข่ายความผิด ไม่ว่าบ้านที่สร้างไปแล้วจะอยู่ดีมีสุขอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกัน
เพื่อให้เข้าใจประเด็นของการตรวจสอบโครงการบ้านเอื้ออาทรที่กำลังอยู่ในความสนใจของสาธารณชนขณะนี้มากยิ่งขึ้น ขออนุญาตสรุปประเด็นจากการไต่สวนของ คตส. ในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะกรณีการดำเนินโครงการที่ใช้ระบบเทิร์นคีย์เหมาโควตา อันนำมาสู่การจัดสรรโควตาให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการบ้านเอื้ออาทร ว่ารายใดได้กี่ยูนิต แล้วเบิกจ่ายเงินแผ่นดินให้เอกชนไปตามจำนวนยูนิต ซึ่งบางโครงการได้เกิดการทุจริตโกงกิน เป็นที่มาของคดีเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการแลกกับได้รับจัดสรรโควตานั่นเอง
1. โครงการบ้านเอื้ออาทรยุครัฐบาลทักษิณ ในช่วงปลายสมัยรัฐบาล
ช่วงปี’48-49 ใช้วิธีเทิร์นคีย์เหมาโควตา
วิธีนี้ เปิดทางให้เกิดความเสียหายต่อเงินแผ่นดิน จากการทุจริต
ฝ่ายการเมือง อ้างว่า เร่งรีบดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายที่นายกฯ กำหนดไว้จำนวน 4 แสนยูนิต
กำหนดนโยบายให้ใช้ระบบจัดสรรแบ่งเป็นโควตาให้เอกชนแต่ละราย รับไปดำเนินการ
โดยเอกชนที่ได้รับโควตาไป ก็จะต้องไปดำเนินการทั้งจัดหาที่ดินและรับเหมาก่อสร้าง แลกกับเงินค่าเหมาจ่ายจากรัฐบาล
ที่สำคัญ สัญญาเหมาโควตา จะเหมาราคาให้เอกชนตายตัว หน่วยละ 4.2 แสนบาท ได้โควตาไปกี่หน่วย ก็จะมีการเบิกจ่ายเงินล่วงหน้าได้ 15% เพื่อนำไปจัดหาที่ดินและพัฒนาโครงการต่อไป
2. ระบบนี้ ก่อให้เกิดกระบวนการเจรจา แบ่งสรรโควตาให้แก่บริษัทต่างๆ อย่างรวบรัด
แล้วจ่ายเงินล่วงหน้า 15% ของมูลค่างานปีแรก กลายเป็นที่ครหาในขณะนั้นว่า เป็นนโยบายการออกแบบวิธีดำเนินโครงการที่เปิดทางให้มีการเรียกค่าหัวคิว
ราคาเหมาจ่ายยูนิตละ 4.2 แสนบาท
ค่าหัวคิว 11,000 บาทต่อยูนิต
หักหัวคิวไปแล้ว ยังเหลือยูนิตละกว่า 4 แสนบาท
นี่คือแรงจูงใจให้เกิดวงจรทุจริตค่าหัวคิวอย่างเป็นระบบ
3. ปรากฏว่า เมื่อใช้ระบบนี้ ช่วงต้นปี’48 เอกชนผู้รับเหมาโครงการได้มีการเพิ่มจำนวนยูนิตในแต่ละโครงการหนาแน่นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อาคารอยู่ชิดติดกัน และมีพื้นที่ส่วนกลางน้อยอย่างเห็นได้ชัด
แถมโครงการอยู่ไกล เพื่อให้ต้นทุนที่ดินต่ำ
สะท้อนว่า อาจเพื่อเพิ่มราคาต่อโครงการ ทำให้รายได้คุ้มค่าหัวคิวและเหลือเป็นกำไรในส่วนของผู้ประกอบการ
กลายเป็นว่า รัฐต้องจ่ายซื้อโครงการในราคาเหมาจ่ายตายตัว แต่ได้โครงการที่มีคุณภาพต่ำกว่าเดิม
4. กระบวนการไม่ชอบมาพากลในการอนุมัติเทิร์นคีย์เหมาโควตา
มีการเปิดกว้างให้แก่เอกชน ไม่มีการตรวจสอบให้ได้บริษัทที่มีประสบการณ์ทำงานเพียงพอกลายเป็นว่าบางราย ทำตัวเหมือนเป็นนายหน้า เข้ามาจับเสือมือเปล่า
บริษัทรับเหมาผู้สนใจบางราย ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ ระบุว่า เมื่อต้นทุนค่าหัวคิวสูงมาก ทำให้ต้องได้โควตาจำนวนมากจึงจะคุ้มทุน ผลที่ตามมาคือจะต้องมีมูลค่าโควตาสูง จนเกินกว่าจะหาหลักประกันธนาคารได้
เมื่อใช้ระบบเทิร์นคีย์เหมาโควตา เหมาจ่ายราคาแน่นอน 4.2 แสนบาทต่อยูนิต ก็ยกเลิกการตรวจสอบราคาที่ดิน เท่ากับปล่อยให้มีการพอกราคาที่ดิน
การใช้ระบบเทิร์นคีย์เหมาโควตา จัดสรรโควตาให้ผู้รับเหมาดำเนินการ และการจ่ายเงินล่วงหน้าในระบบเทิร์นคีย์เหมาโควตานี่เอง เปิดช่องต่อการทุจริตเรียกค่าหัวคิว
ปรากฏว่า ฝ่ายการเมืองในขณะนั้น ได้ใช้เปลี่ยนตัวบุคคลในบอร์ดการเคหะ ทั้งๆ ที่ ยังไม่ครบวาระ แล้วแต่งตั้งผู้คุ้นเคยเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งประธานบอร์ด และประธานคณะกรรมการกลั่นกรอง
ลูกชายของประธานคณะกรรมการกลั่นกรอง ได้มีตำแหน่งแห่งหนทางการเมืองด้วย
ฝ่ายการเมืองถึงขนาดเข้าร่วมประชุมสั่งการบอร์ดและทีมผู้บริหารด้วยตนเอง ทั้งหลักการและร่างระเบียบข้อบังคับต่างๆ ให้ต้องผ่านความเห็นชอบของตนเองก่อน มีการเรียกประชุมชี้แจงบริษัทผู้สนใจด้วยตนเอง แล้วเร่งให้มีการจัดสรรโควตาโดยเร่งรัด
ในที่สุด จึงเกิดคดีเรียกรับเงินค่าหัวคิวแดงขึ้นมา
ใครจะผิด-จะถูก คดีต้องไปต่อสู้หักล้างกันด้วยข้อเท็จจริงในชั้นศาลต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี