ชาว ม.ธ.ก.ร่วมกันจัดงานทำบุญท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้มีพระคุณต่อชาติไทย
วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันปรีดี” ของชาวธรรมศาสตร์ จึงขอนำความเป็นพิเศษของคำว่า “ผู้ประศาสน์การ”ที่เป็นตำแหน่งและมีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งในทางบริหารและวิชาการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยิ่งกว่าคำว่า “อธิการบดี” และเป็นผลสำคัญให้ประเทศสยามไม่ตกเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ มาเล่าให้ฟังบางส่วน ดังนี้
ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยกล่าวยืนยันถึงตำแหน่งผู้ประศาสน์การว่ายังเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองว่า……
“ข้าพเจ้าได้ซ้อมความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรี (จอมพลป.พิบูลสงคราม)และรองนายกรัฐมนตรี (พันตำรวจเอกหลวงอดุลเดชจรัส) ว่าโดยที่ญี่ปุ่นไม่พอใจให้ข้าพเจ้าร่วมอยู่ในคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองแต่ตำแหน่งผู้ประศาสน์การฯมิใช่ตำแหน่งทางการเมืองอีกทั้งข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งนี้โดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรตามพ.ร.บ. จัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองฉะนั้นจึงถือว่าข้าพเจ้ายังคงดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การต่อไป....”
“รัฐบาลไม่ขัดข้อง”
“ข้าพเจ้าจึงอาศัยมหาวิทยาลัยฯเป็นที่ตั้งกองบัญชาการต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งต่อมาได้ร่วมเป็นขบวนการเดียวกันกับเสรีไทยในสหรัฐอเมริกาและในอังกฤษใช้ชื่อว่า “ขบวนการเสรีไทย”
และได้กล่าวถึงตำแหน่งผู้ประศาสน์การกับค่ายกักกันคนอังกฤษและคนอเมริกันระหว่างสงครามที่อยู่ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองมีความตอนหนึ่งว่า…..
“.... เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นได้ตกลงกติกาทำสัญญาร่วมมือทางทหาร (Military co-operation)ระหว่างกันแล้วรัฐบาลไทยก็เตรียมการที่จะจับคนสัญชาติอังกฤษคนสัญชาติอเมริกันเอาไปกักกันไว้เสมือนหนึ่งเป็นชนชาติศัตรูเพราะถ้ารัฐบาลไทยไม่จัดการเช่นนั้นกองทหารญี่ปุ่นก็จะจัดการเองรัฐบาลไทยได้มอบให้พล.ต.ต.อดุลฯรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้
รองนายกรัฐมนตรีจึงไปพบข้าพเจ้าขอแบ่งสถานที่ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯเพื่อกักกันคนสัญชาติดังกล่าวโดยขอให้มหาวิทยาลัยจัดเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเป็นผู้ดูแลค่ายกักกันนี้ส่วนทางทหารนั้นได้ตั้งม.ร.ว.พงศ์พรหม จักรพันธุ์ นายพันตรีกองหนุนที่รับราชการอยู่ในกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่เคยอยู่ในสังกัดข้าพเจ้าก่อนแล้วนั้นเป็นผู้บังคับการค่ายและขอให้มหาวิทยาลัยจัดเจ้าหน้าที่ให้มีความเป็นอยู่อย่างดีที่สุดแก่ผู้กักกันเหล่านั้น
ข้าพเจ้าในฐานะผู้ประศาสน์การตกลงรับข้อเสนอของรองนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเพราะเห็นว่า
ประการที่ ๑ คนสัญชาติดังกล่าวที่อยู่ในประเทศไทยจะรอดพ้นจากการถูกจับกุมโดยฝ่ายญี่ปุ่นที่อาจจะใช้วิธีทรมานดังที่ญี่ปุ่นได้เคยทำแก่คนอังกฤษและคนอเมริกันในประเทศ
ประการที่ ๒ การช่วยคนสัญชาติสัมพันธมิตรดังกล่าวเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่สัมพันธมิตรจะผ่อนหนักเป็นเบาให้แก่ประเทศไทยถ้าหากสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม
ข้าพเจ้าได้มอบให้นายวิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยฯซึ่งทำหน้าที่เลขาธิการองค์การต่อต้านซึ่งต่อมาใช้ชื่อว่า “ขบวนการเสรีไทย” นั้นเป็นหัวหน้าพนักงานมหาวิทยาลัยฝ่ายความเป็นอยู่ของผู้กักกันเหล่านั้น
“มหาวิทยาลัยได้ต้อนรับและได้พิทักษ์ผู้กักกันเหล่านั้นเต็มความสามารถที่จะมิให้ญี่ปุ่นยื้อแย่งเอาไปทรมานได้”
อันเป็นผลสำคัญให้ประเทศไทยได้นำไปใช้เป็นเหตุในประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล โดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นายปรีดี พนมยงค์ ณ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นซึ่งขณะนั้นนายปรีดี พนมยงค์ ยังดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองอยู่ด้วย
ขอแนะนำให้อ่านหนังสือ “ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ ๒๑ ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน” หรือ Ma vie mouvementée et mes21 Ans D’EXIL en CHINE populaire ที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสเมื่อปี ๑๙๗๒ และได้มีผู้แปลเป็นภาษาไทยไว้บางตอนจะได้ทราบว่าท่านได้กล่าวถึงการใช้เพทุบายอันแยบยลของรัฐบาลในสมัยนั้นที่ใช้วิธีการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเพื่อให้ท่านพ้นจากตำแหน่ง “ผู้ประศาสน์การ” ไว้ดังนี้
“.... หลังจากไม่ได้อยู่ในรัฐบาลแล้วข้าพเจ้ายังดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองดังกล่าวแม้ในช่วงสามปีแรกที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนข้าพเจ้ายังดำรงนั้นอยู่...” ทั้งนี้เพราะรัฐบาลปฏิกิริยาในสมัยนั้นไม่ต้องการให้บรรดาศิษย์ของท่านอาจารย์ปรีดี เกิดความไม่พอใจรัฐบาลจึงได้แต่งตั้งบุคคลอื่นขึ้นมาเป็นผู้รักษาการแทนผู้ประศาสน์การต่อมาภายหลังการพ่ายแพ้ของกลุ่มนายทหารเรือที่ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลในพ.ศ. ๒๔๙๔ รัฐบาลปฏิกิริยาจึงได้เสนอกฎหมายใหม่ต่อสภาผู้แทนราษฎรให้เปลี่ยนระบบจัดการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
“ระบบที่กำหนดขึ้นใหม่นี้ใช้เพทุบายอันแยบยลกล่าวคือเพียงแต่เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” สั้นๆ โดยตัดคำว่า “วิชา” และ “และการเมือง” ออกไป
“นั่นคือรัฐบาลในสมัยนั้นไม่ได้ปลดข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งผู้ประศาสน์การโดยตรงแต่ถือได้ว่าเป็นการปลดโดยปริยาย....”
รู้กตัญญูตเวที ที่ชาว มธ. มีต่อท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์
แต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกลับไม่ไยดีในธรรมข้อนี้
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วลอร์ดเมานท์แบตเตนได้เปิดเผยต่อหนังสือพิมพ์ไทมส์ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๖ มีความตอนหนึ่งถึงตำแหน่ง “ผู้ประศาสน์การ” ดังต่อไปนี้
“ข้าพเจ้ารู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยามได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปรารถนาดีของประดิษฐ์ (คือท่านหลวงประดิษฐ์มนูธรรมผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) ซึ่งมีต่อเราดังนั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้ที่ได้ให้บริการอย่างสูงสุดต่ออุดมการณ์ของสัมพันธมิตรและต่อประเทศของเขาเองและโดยความรู้เห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเขาก็เป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามเป็นอย่างหนักแน่นมากด้วยสายระยางแห่งการต่อต้านในท้องถิ่นแห่งการกดขี่ของญี่ปุ่นในดินแดนอาเซียอาคเนย์ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นนั้นถึงจะมีช่องว่างอยู่บ้างก็มีอยู่อย่างเล็กน้อยเหลือเกินและสายระยางที่เข้มแข็งที่สุดอันหนึ่งก็ได้แก่สายระยางซึ่งได้บากบั่นสร้างสรรค์ขึ้นโดยประดิษฐ์ในสยามนี้เอง”
เมื่อกล่าวจบแล้วมีเสียงปรบมือที่กึกก้องตามมาเป็นระยะเวลานาน
อนึ่งคำว่า “ผู้ประศาสน์การ” ที่ได้ค้นคว้ามานี้ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ขอท่านผู้รู้ได้โปรดอนุเคราะห์ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมต่อยอดให้ด้วย
แต่ตำแหน่งนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารในทางวิชาการของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองและตำแหน่งนี้ได้มีส่วนสำคัญที่เป็นผลให้ประเทศไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี