ประเด็นข่าวร้านธงฟ้าประชารัฐ ขึ้นป้ายขอคิดค่ารูด 5% จากผู้ใช้ “บริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ร้านหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ กระทรวงพาณิชย์ เข้าไปตรวจสอบพบว่าเจ้าของร้านรู้เท่าไม่ถึงการโดยอ้างว่าต้องนำไปจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ได้รับการแก้ไขปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก
ใครพบเรื่องแบบนี้อีกโปรดแจ้ง 1569 สายด่วนแม่บ้าน
“บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” คืออะไร?
คือบัตรที่รัฐบาลมอบให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่ได้ทำการลงทะเบียน และผ่านเกณฑ์คุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิ์ในสวัสดิการนี้ ซึ่งมีจำนวนกว่า 11.67 ล้านคนทั่วประเทศ
โดยผู้ที่ได้รับบัตรนี้สามารถใช้สิทธิตามที่กำหนดโดยรัฐได้ แต่บัตรนี้มีเงื่อนไขพิเศษอย่างหนึ่งคือ ในวันที่ 1 ของทุกเดือน ระบบจะทำการรีเซตวงเงินในบัตรใหม่ หากวงเงินที่ยังใช้ไม่หมด จะถูกตัดและส่งคืนกลับเข้าระบบของรัฐบาลทันที
โครงการนี้รัฐบาลประมาณการลงทุนไว้ถึง 5.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ปัจจุบันได้ดำเนินการมาจนถึงเฟสที่สองแล้ว โดยมีเป้าหมายในการช่วยสนับสนุนเรื่องต่างๆ อาทิ การอบรมวิชาชีพ การส่งเสริมให้มีงานทำการสนับสนุนให้เข้าถึงปัจจัยพื้นฐานการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
เฟสแรกวงเงิน 200-300 บาท ในบัตรและเพิ่มเป็น 300-500 บาท ในเฟสที่สอง สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ แม้ว่าวงเงินนี้อาจไม่มากพอจนทำให้ชีวิตของผู้ถือบัตรสะดวกสบายขึ้น แต่จำนวนเงินในบัตรนี้ได้กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้สมาชิกสามารถเข้าถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคพื้นฐานได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
มีข้อมูลพบว่ากลุ่มคนที่ถือบัตรนี้ในเขตชนบทมีการเลือกซื้อและใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในสินค้าที่อยู่ในหมวดหมู่ของการดำรงชีวิตเป็นหลัก เช่น สบู่ ยาสีฟัน หรือของใช้ในครัวเรือนอย่างผงซักฝอก น้ำยาซักผ้า และน้ำยาล้างจาน รวมไปทั้ง กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม อย่างปลากระป๋องและซอสปรุงรสเพิ่มขึ้นเช่นกัน
โปรแกรมนี้ถือ เป็นการช่วยเหลือกลุ่มรากหญ้าให้สามารถเข้าถึงสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะอย่างน้อยๆ ปัจจุบันคนกลุ่มนี้ก็สามารถอาบน้ำซักผ้า มีกินพออิ่มท้องได้ อนาคตคนกลุ่มนี้ก็สามารถพึ่งพาตัวเองได้
ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งของโครงการคือการที่มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ชุมชนนั้นๆ เพิ่มมากขึ้น โดยการเกิดขึ้นของเงินหมุนเวียนตรงนี้ก็เนื่องมาจากการที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำเป็นต้องใช้ใน “ร้านธงฟ้าประชารัฐ” หรือร้านค้าที่ร่วมนโยบาย โดยรัฐจะมีเครื่องสแกนไว้ใช้กับบัตรเสมือนเป็นบัตรแทนเงินสด ซึ่งร้านแนวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นร้านโชห่วย ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านสะดวกซื้อ
ตามชุมชน (Local Supermarket/Convenience store) จึงทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจชุมชนเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนเริ่มโครงการ และยังช่วยให้ร้านค้าชุมชนแนวนี้ที่สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับร้านค้าโมเดิร์นเทรดเจ้าใหญ่ๆ มาโดยตลอด ได้มีโอกาสอ้าปากหายใจอีกครั้ง
มีข้อมูลว่า กลุ่มสินค้าที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีการเลือกซื้อสูงนั้นมีอัตราการเติบโตที่เยอะกว่า 10% ซึ่งตัวเลขนี้สวนทางกับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในช่วงขาลงในหลายปีนี้อย่างชัดเจน หลากหลายข้อมูลได้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มลูกค้าที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐคงไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้มีความสำคัญอย่างที่เข้าใจกันในเบื้องต้นอีกต่อไป
หากแต่เป็นกลุ่มที่อาจเป็นโอกาสสำหรับหลากหลายธุรกิจเลยทีเดียว ดังนั้นประเด็นที่ผู้ผลิตควรต้องตั้งคำถามคือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ผู้ถือบัตรเลือกซื้อเลือกใช้สินค้าของตน
ถือเป็นโอกาสทองของผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ
มากไปกว่านั้นคือรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังนำร่องหลายโครงการไปสู่THAILAND 4.0 จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ปรับปรุงระบบการทำงานของระบบราชการให้ทันสมัย จะยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบีบนบ้านในการติดต่อกับราชการ ขยายความเจริญจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค นำระบบเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือเป็นโปรแกรมของการพัฒนาประเทศ เช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นตัวช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจชุมชนมากขึ้นเป็นลำดับ ช่วยฟื้นร้านค้าในชุมชนให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกหนหนึ่ง
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะไปดูมาหลายพื้นที่ ต้องช่วยกันสนับสนุนครับเพื่อให้เพื่อนร่วมชาติมีความอยู่ดีกินดีมากกว่าเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี