สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีบันทึกเรื่อง การนำรายได้ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยไปหาผลประโยชน์ตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 บันทึกดังกล่าวนี้ออกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
ข้อความบันทึกในหน้า 5 ย่อหน้าที่ 2 ระบุว่า กรณีตามข้อหารือ การที่ ส.ส.ท. ได้อาศัยระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 (4) นำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้ CPF แม้จะเป็นการนำเงินรอการใช้จ่ายไปหาดอกผลทางนิตินัยก็ตาม แต่อำนาจในการทำกิจการของ ส.ส.ท. ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยฯ ไม่ได้บัญญัติถึงการนำเงินไปลงทุนในกิจการอื่นแต่อย่างใด คงมีแต่เพียงกรณีตามมาตรา 9 (3) ที่บัญญัติถึงการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ก็ต้องเป็นกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์การเท่านั้น และแม้ว่ามาตรา 9 (5) จะให้อำนาจ ส.ส.ท. สามารถดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นหรือต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่หลักตามมาตรา 7 และมาตรา 8 ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นบางแห่งที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ พบว่ารัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานดังกล่าวได้มีการบัญญัติไว้ในกฎหมายแม่บทอย่างชัดเจนถึงอำนาจในการนำเงินไปลงทุนได้ เมื่อปรากฏว่าในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยฯ มิได้บัญญัติให้อำนาจในการนำเงินไปลงทุนหรือซื้อหุ้นได้ การที่ ส.ส.ท. ออกระเบียบฯ ข้อ 9 กำหนดให้สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์โดยการนำไปลงทุนอื่นๆ จึงไม่ใช่การทำกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 และยังเป็นกรณีนอกเหนือจากขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่หลักขององค์การหรือกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์การ จึงไม่สอดคล้องกับมาตรา 9 แห่ง พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาฉบับนี้ลงนามโดยนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560
ขอย้ำประเด็นที่ว่า “เมื่อปรากฏว่าในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยฯ มิได้บัญญัติให้อำนาจในการนำเงินไปลงทุนหรือซื้อหุ้นได้ การที่ ส.ส.ท. ออกระเบียบฯ ข้อ 9 กำหนดให้สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์โดยการนำไปลงทุนอื่นๆ จึงไม่ใช่การทำกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 และยังเป็นกรณีนอกเหนือจากขอบเขตวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่หลักขององค์การหรือกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์การ จึงไม่สอดคล้องกับมาตรา 9แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551”
อยากทราบว่าเมื่อผู้บริหารระดับสูงทุกรายของไทยพีบีเอส หรือ ส.ส.ท. อ่านข้อความดังกล่าวแล้วเข้าใจหรือไม่ และเข้าใจว่าอย่างไร แล้วจะยอมรับหรือไม่ว่าการกระทำในกรณีการนำเงินของไทยพีบีเอสไปซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟเป็นเรื่องที่กระทำมิได้
แต่จากพฤติกรรมที่ปรากฏจากผู้บริหารของไทยพีบีเอสในกรณีดังกล่าว กลับทำให้สาธารณชนเห็นชัดว่าผู้บริหารของไทยพีบีเอสยังคงไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อกรณีนี้ แม้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีบันทึกดังกล่าวก็ตาม
นอกจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นตามบันทึกที่ว่านี้แล้ว เมื่อดูความเห็นของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็มีความเห็นเช่นกันว่า ตามระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ.2558 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดให้ ส.ส.ท. สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์ได้ตามที่คณะกรรมการกำหนด เป็นระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551เนื่องจากเจตนารมณ์ในการก่อตั้ง ส.ส.ท. เพื่อให้มีองค์การสื่อสาธารณะซึ่งทำหน้าที่ผลิตและสร้างสรรค์รายการข่าวสารคุณภาพสูง มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและส่วนรวมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและประเทศชาติ โดยไม่เก็บค่าสมาชิกและไม่หารายได้จากการโฆษณาเพื่อให้มีทุนในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว รัฐจึงกำหนดจัดสรรภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตราร้อยละหนึ่งจุดห้า สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกินสองพันล้านบาท ให้เป็นรายได้ของ ส.ส.ท. การแสดงหากำไรโดยนำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้จึงเป็นกิจการนอกเหนือภารกิจหลักและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การจัดตั้งองค์การ ส่งผลให้ข้อ 9 ของระเบียบดังกล่าวไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 ขอให้ ส.ส.ท. พิจารณาดำเนินการกรณีการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 โดยเคร่งครัด และแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายใน 60 วัน
เมื่อวิญญูชนได้อ่านข้อความจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่มีไปยังไทยพีบีเอสแล้วย่อมสามารถชี้ชัดได้ว่าไทยพีบีเอสได้ทำในสิ่งที่นอกเหนือภารกิจและไม่ทำตามวัตถุประสงค์หลักขององค์การ และทำการซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
แต่ถึงแม้ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นสอดคล้องกันว่าการกระทำของไทยพีบีเอสในเรื่องที่สาธารณชนตั้งคำถามเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักการ แต่ทว่าผู้บริหารของไทยพีบีเอสก็มิได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมกระทำการอันไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551
นับเป็นเรื่องน่าอดสูเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารองค์การที่อ้างว่าตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ผลิตและสร้างสรรค์รายการข่าวสารคุณภาพสูง มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและส่วนรวมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและประเทศชาติ โดยไม่เก็บค่าสมาชิกและไม่หารายได้จากการโฆษณา กลับไม่ยินยอมปฏิบัติตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดังนั้นจึงเกิดคำถามจากสาธารณชนว่าหากผู้บริหารไทยพีบีเอสไม่ยอมรับผิดในเรื่องที่ได้มีส่วนร่วมกระทำลงไปแล้ว ไทยพีบีเอสจะยังคงอ้างการทำหน้าที่ตรวจสอบความไม่ปกติ ความทุจริต ความฉ้อฉลของหน่วยงานและองค์กรอื่นๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนได้อีกหรือ ในเมื่อตัวของไทยพีบีเอสเองยังไม่ปฏิบัติตามหลักของความถูกต้อง แล้วจะยังมีหน้าไปตรวจสอบความไม่ถูกต้องขององค์กรและหน่วยงานอื่นอีกกระนั้นหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี