จากบทความที่ผ่านมาแล้ว พอจะสรุปได้ว่า การคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ทั้งข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และพนักงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ) มีต้นตอมาจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญของเรา ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2560 ได้เปิดโอกาสไว้ดังต่อไปนี้
1.เปิดโอกาสให้บุคคลกลุ่มเดียว (สส., สว.) ใช้อำนาจอธิปไตยได้ถึง 2 อำนาจ กล่าวคือ สส., สว. ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เข้าไปใช้อำนาจบริหาร (เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี และข้าราชการการเมืองของฝ่ายบริหาร) ได้ด้วย
ซึ่งทำให้เกิดผลประโยชน์ขัดกัน (Conflict of interest) อย่างเห็นได้ชัด
บุคคลกลุ่มนี้ เป็นผู้ออกกฎหมายบังคับ และควบคุมอำนาจตุลาการ และอำนาจบริหารได้ และออกกฎหมายกำกับดูแลรัฐกิจ ธุรกิจ และประชากิจ รวมทั้งประชาชน ได้ในทุกกรณี ออกพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีตามที่พิจารณาเห็นสมควร
และบุคคลกลุ่มนี้ ยังเข้าไปเป็นผู้บริหารงบประมาณเสียเอง บริหารบุคลากรของฝ่ายบริหารเสียเอง
ซึ่งโดยหน้าที่ บุคคลกลุ่มนี้ มีหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุมและกำกับดูแลผู้ใช้อำนาจอื่นๆ อยู่ เมื่อเข้าไปใช้อำนาจบริหารเสียเอง ก็ย่อมไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุม และกำกับดูแลตามที่ควร
2.เปิดโอกาสให้ ฝ่ายนิติบัญญัติ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีอันไม่สะอาดบริสุทธิ์ ในการก้าวเข้าสู่อำนาจ
เริ่มต้นด้วยการซื้อเสียงในเขตเลือกตั้งของตน
พรรคก็ต้องหาเงินที่ไม่บริสุทธิ์มาสนับสนุนผู้สมัครของตน
เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องใช้เงินหรืออามิสสินจ้างอื่น ดูด สส. ให้ได้จำนวนมากพอ หรือซื้อเสียงสนับสนุนจากพรรคเล็กพรรคน้อย เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือเข้าไปรวมกับพรรคที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาล
3.เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว หรือนัยหนึ่ง เข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยอีกอำนาจหนึ่ง (อำนาจบริหาร) แทนปวงชนชาวไทยได้ นอกเหนือจากอำนาจนิติบัญญัติแล้ว ก็มีความจำเป็นต้องแจกโควตาทำมาหากินกันไปตามความสำคัญของแต่ละพรรคร่วม
เมื่อจะต้องทำมาหากิน ก็ต้องมีลูกน้องให้ความร่วมมือ นั่นก็คือบรรดาข้าราชการประจำ และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรของรัฐ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับนักการเมือง (น้ำเน่า) เหล่านั้น
แล้วจะไปปราบคอร์รับชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำได้อย่างไร ในเมื่อกลไกของรัฐธรรมนูญทุกฉบับ สร้างความจำเป็นให้ต้องเป็นเช่นนี้
ตอนนี้พรรคการเมือง หรือนักการเมือง ที่เป็นประเภท “น้ำดี” ก็คงจะคัดค้านไม่เห็นด้วยกับขั้นตอนข้างต้น
ก็น่าจะถูกต้องสำหรับพรรคการเมือง และนักการเมือง “น้ำดี” ที่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นนี้ แต่ประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เป็นเช่นนี้มาตลอดพิสูจน์ได้ด้วยแต่เลข จำนวนรัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลาน จำนวนการปฏิวัติรัฐประหาร จำนวนรัฐธรรมนูญ จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธต่อข้อเท็จจริง และความจริงได้
สรุปแล้ว โครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา จนปัจจุบันได้สร้างระบอบการปกครองที่ล้มเหลว ให้แก่ปวงชนชาวไทย รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ล้มลุกคลุกคลาน แข่งกันดูด แข่งกันไดร์โว่ ด้วยผลประโยชน์ หรืออามิสสินจ้าง
และก็เป็นต้นเหตุแห่งการคอร์รัปชั่น ซึ่งรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน
เราลองมาถามตัวเองดูว่า
แล้วเราไปมอบอำนาจบริหาร ให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างไร
ทำไมจะต้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติ มาใช้อำนาจบริหารด้วย
คำตอบก็คือว่า
- คณะรัฐประหาร หรือผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ย่อมไม่ถนัดในการร่างรัฐธรรมนูญเอง จึงต้องมอบให้ผู้รู้ด้านนิติบัญญัติไปร่างรัฐธรรมนูญ
- และผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่ก็เป็นนักนิติบัญญัติทั้งนั้น จึงต้องร่างรัฐธรรมนูญให้อำนาจตนเองไว้ก่อน
- เพราะเราลอกเลียนแบบประชาธิปไตยนี้มาจากต่างประเทศ (Parliamentarian democracy) โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรม ความสำนึกในหน้าที่ และความรับผิดชอบ ระหว่างเขากับเรา
- เพราะเรานึกไม่ออกว่า ถ้าไม่ให้ สส., สว. มาเป็นรัฐบาลแล้ว จะให้ใครเล่ามาใช้อำนาจบริหาร
ก็เพราะเราไม่คิดค้น ไม่พยายามหานวัตกรรมใหม่ๆ
ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้มีเพียงระบบเดียว แต่ยังมีอีกหลายระบบ อันเป็นระบบแยกอำนาจเด็ดขาดแบบสหรัฐอเมริกา หรือแยกอำนาจกึ่งเด็ดขาดแบบฝรั่งเศส
ตอนนี้ บางท่านก็อาจบอกว่าเราทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ก็นั่น ท่านไปคิดเลือกประธานาธิบดีเข้าล่ะสิ ก็ทำไม่ได้
ประมุขของประเทศเรามีอยู่แล้ว นานมาแล้ว ดีมากเสียด้วย คือ พระมหากษัตริย์ของเรา
ส่วนที่เราจะหาคนที่มิใช่ สส. มาเป็นรัฐบาล ก็คือ เราต้องคิดหาหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) แบบใหม่ ไม่ใช่คิดหาประมุขของรัฐ (ซึ่งเรามีองค์พระประมุขของเราอยู่แล้ว)
องค์ประกอบในการจะหาหัวหน้าฝ่ายบริหาร ก็น่าจะใช้หลักเกณฑ์ (Criteria) เลียนแบบการเข้าสู่อำนาจตุลาการ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นๆ ของเรื่องนี้ การเข้าสู่อำนาจนิติบัญญัติ เมื่อปี พ.ศ.2516 ด้วยวิธีกำหนดคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Body) ดูบทความเรื่อง “พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในการแก้ปัญหาบ้านเมือง” หนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 และการเข้าสู่อำนาจบริหารของพลเอกเดอโกลส์ เมื่อปี 2502 ผสมผสานกัน คือ
1.ต้องได้มืออาชีพที่มีพื้นฐานในด้านบริหาร ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว
2.ต้องผ่านการกลั่นกรอง และสรรหา อย่างเคร่งครัด
3.ต้องมีการตรวจสอบ ทดสอบความเป็นผู้มีจริยธรรม มีความโปร่งใส ไร้ราคี ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเข้มข้น
4.ต้องให้ระยะเวลาที่แน่นอน (4-6 ปี) เพื่อเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และเป็นได้ไม่เกิน 2 เทอม
5.ต้องมีวิธี “ถ่วงดุลแห่งอำนาจ” ที่จะถูกปลดจากตำแหน่งได้ โดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือโดยประมุขของรัฐ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
เมื่อมี คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) ที่เหมาะสม มีการแยกอำนาจมิให้บุคคลคณะเดียว มาใช้สองอำนาจพร้อมๆ กัน มีการวางดุลแห่งอำนาจ (Balance of Power) ที่ดี เราก็จะได้นักบริหารที่ดี มีคุณธรรม มาเป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร การคอร์รัปชั่นจากระดับสูงก็จะหายไป ระดับกลาง และระดับล่าง ก็จะต้องจางหายไปด้วยในที่สุด
โอกาสต่อไป คงจะได้มีรายละเอียดมาให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันคิด และวิเคราะห์มากขึ้น
โดย ศิริภูมิ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี