กำลังมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไปชักชวนให้หลงใหลได้ปลื้มกับความร่ำรวยของเจ้าสัวเพียงไม่กี่คน ที่บางคนก็รวยขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลในช่วง 3-4 ปีมานี้ ว่านี่คือความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ยิ่งมีเจ้าสัวลดน้อยถอยลงเท่าใด หรือเจ้าสัวแต่ละคนร่ำรวยมากขึ้นเท่าใด ความหมายที่แท้จริงก็คือระบบเศรษฐกิจของประเทศพินาศวายวอด และอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงกำลังกลายเป็นคนยากจนยากไร้เพิ่มขึ้น
เพราะในระบบทุนนิยมนั้น การที่ทรัพย์สินและการมั่งคั่งของประเทศไหลไปรวมอยู่ที่คนเพียงไม่กี่คนมากขึ้นเท่าใด ผลก็คือทรัพย์สินและความมั่งคั่งของอาณาประชาราษฎร์ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ และไหลไปรวมอยู่ที่เจ้าสัวเพียงไม่กี่คนนั้น
ยิ่งเจ้าสัวใช้เวลาสั้นเท่าใดในการเพิ่มจำนวนทรัพย์สิน ก็ย่อมหมายความว่าอัตราการไหลเร่งของทรัพย์สินจากอาณาประชาราษฎร์ไปสู่อุ้งมือเจ้าสัวยิ่งมีความโหดร้ายอำมหิตมากขึ้นเท่านั้น
และยิ่งทรัพย์สินไหลไปรวมกันกับเจ้าสัวเพียงไม่กี่คนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มความต้องการที่จะทำให้ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ในประเทศทั้งหมดไหลไปรวมอยู่ที่เจ้าสัวมากขึ้นไปอีก และด้วยพลังที่เพิ่มมากขึ้นอันเป็นไปตามลัทธิมาร์คในเรื่องที่ว่าด้วยความจริงที่ไม่อาจแก้ไขได้
ไม่เห็นหรือว่าในชุมชนต่างๆ ที่ชาวบ้านเคยขายข้าวผัดข้าวแกง พอมีรายได้แค่กินอยู่ไปวันๆ มาถึงวันนี้ก็ขายไม่ได้แล้ว เพราะหนวดปลาหมึกของเจ้าสัวเข้าไปกลืนกินเอากิจการเหล่านี้ไปทำเองเสียทั้งสิ้น
เงินทองของอาณาประชาราษฎร์ที่หาได้เป็นรายวัน รายเดือน ทุกเช้าค่ำ ก็ต้องเอาไปจ่ายให้เจ้าสัวเพื่อเป็นค่ากินค่าใช้สารพัด
เมื่อทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับประชาชนแห้งเหือดไป แต่พลังความต้องการแห่งทุนที่ใหญ่ขึ้นกลับเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทรัพย์สินและสมบัติทั้งของรัฐและของชาติจึงหลั่งไหลเข้าไปสู่อุ้งมือของเจ้าสัว ด้วยโครงการแปลกประหลาดนานาสารพัด จึงไม่รู้ว่าขณะนี้รัฐและประเทศชาติมีทรัพย์สินและสมบัติเหลืออยู่เท่าใด
เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว ก่อนที่ประเทศชาติเหล่านั้นจะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีนก็คือในยุครัฐบาลก๊กมินตั๋ง ในครั้งนั้นทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุนของประเทศจีนเป็นของคนแค่ 4 ตระกูลเท่านั้น คือตระกูลเจียง ตระกูลซ่ง ตระกูลข่ง และตระกูลเฉิน จนมีวาทกรรมเรียกยุคสมัยนั้นอีกอย่างหนึ่งว่า ยุคเจียงซ่งข่งเฉิน
เมื่ออำนาจรัฐและอำนาจทุนมารวมอยู่ที่สี่ตระกูล จึงทำให้ทั้งแผ่นดินจีนอดอยากขาดแคลนและยากไร้ทุกสิ่ง และนั่นก็คือเชื้ออันอุดมแห่งการอุบัติขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ยิ่งอำนาจรัฐและอำนาจทุนผนึกรวมศูนย์กันมากเท่าใด ยิ่งทรัพย์สินของเจ้าสัวเพิ่มขึ้นเท่าใด ประกายไฟก็แผ่ขยายไปทั่วประเทศจีนมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็ก่อเกิดเป็นสงครามกลางเมือง นั่นคือสงครามปลดแอกประชาชาติอันลือลั่นระหว่างรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
พรรคก๊กมินตั๋งจากใหญ่ก็ค่อยๆ เล็กลง จากเข้มแข็งเกรียงไกรก็ค่อยๆ อ่อนแอลง จากพื้นที่อำนาจรัฐทั่วประเทศก็ค่อยๆ หดตัวลงตามสัดส่วนการไหลไปของประชาชนที่ไหลไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจากเล็กก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น จากอ่อนแอก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น จากพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารเล็กๆ ก็ค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น
และในที่สุดประชาชนก็ชี้ขาดล้มอำนาจรัฐและทุนยึดกลับคืนมาเป็นของรัฐบาลประชาชนที่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นศูนย์กลาง
ประเทศไทยเรา จะเดินไปทางไหน?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี