นานนับพันปีที่ประเทศไทย (จากยุคทวารวดี ก่อนที่จะเป็นประเทศไทย) รับเอา “พระพุทธศาสนา” ไว้เป็นศาสนาหลักของผู้คน สืบเนื่องยาวนานถึงปัจจุบัน มีพัฒนาการทั้งรุ่งเรืองและตกต่ำมาโดยลำดับตัวพระธรรมคำสั่งสอนอันประเสริฐนั้น มิได้เปลี่ยนแปรไป ดีงามเช่นไร เป็นมหาสัจจะอย่างไร ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
หากแต่ผู้คน มิได้สัมผัสกับพระธรรมคำสั่งสอนโดยตรง หากแต่รับผ่าน “ธรรมาจารย์” คือสงฆ์และเพื่อนฆราวาสผู้ศึกษาธรรมนั้น ย่อย ย่อ และอรรถาธิบายอีกทอดหนึ่ง จึงขึ้นอยู่ความความบริสุทธิ์ของผู้ถ่ายทอด ว่าถึงพร้อมด้วยปัญญา เจตนา และเนื้อหาที่ถูก ที่ตรง ที่แท้จริงหรือบิดเบือนให้เลือนไป
ความตกต่ำ-ผิดเพี้ยน ของ “กิจการพระพุทธศาสนา” ในประเทศไทย จึงเกิดจากพระสงฆ์ที่ไม่เป็นพระสงฆ์ ฆราวาสที่ยึดติดตัวพระสงฆ์ ไม่มุ่งตรงไปที่คำสอน และลัทธิพิธี ที่เอาพราหมร์เอาผี เอาวิชาหมอดู ซินแส ฯลฯ มาปะปนจนวิปริต แถมมีเรื่องทุจริตคดโกงมาปะปนด้วย การเรียกร้องให้ “ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา” จึงเกิดขึ้น
แต่การปฏิรูปพระกับปฏิรูปตำรวจนั้น คล้ายๆ กัน คือเป็นการจัดระเบียบ “ผู้มีอิทธิพล” ยิ่งกับพระแล้ว ยิ่งไม่ธรรมดา เพราะลูกศิษย์ลูกหากลาดเกลื่อนทั่วแผ่นดิน แตะต้องที อลหม่านที
ก็ดูอย่างกรณีที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ส่งสำนวนคดีเงินทอนวัดลอต 3 ที่มีพระผู้ใหญ่ 5 รูป ซึ่งถูก พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร้องทุกข์กล่าวโทษไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) พิจารณาไต่สวนแล้วดูสิ มีระลอกแห่งแรงกระเพื่อมตามมามากมาย โดยเฉพาะบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่เดินสายร้องเรียนให้เอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร จนเกิดคำถามว่าเรื่องนี้ จะมี “อิทธิพล” อะไร
ตามมา “จัดการ” กับผู้ดำเนินการหรือไม่ และกำลังเล่นให้เป็น “เรื่องใหญ่” ด้วยการสร้างประเด็นว่าเป็นการสร้างความแตกแยก มีผลกระทบต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนานั่นเทียว
มาดูผู้คนและเหตุการณ์ที่น่าสนใจกัน ว่าเจอกับอะไร และสื่อสารว่าอย่างไร
1) วันที่ 20 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ให้ดำเนินคดีกับพระชั้นผู้ใหญ่รวม 5 รูปอันเนื่องมาจากงบประมาณอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมและงบประมาณการเผยแผ่พระพุทธศาสนาว่า
ปปป.ส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย. ซึ่ง บก.ปปป. ได้รายงานว่าพบการทุจริตตามที่ บก.ปปป.สอบ ซึ่งอยู่ในสำนวน
เมื่อถามว่ามีข่าวว่าจะมีม็อบพระหรือไม่ เพราะมีการกล่าวหาพระชั้นผู้ใหญ่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ม็อบพระก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว ตนไม่เห็นกฎหมายห้ามจับพระ ทำคดีไม่กังวลหรอก เมื่อถามว่ากังวลถ้าดำเนินคดีกับพระดี แต่พระไม่ดียังไม่เห็นดำเนินการอะไร ยังอยู่ปกติ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า กรณีที่วันนี้จะมีการประชุมที่มหาเถรสมาคมก็มีหน่วยที่เกี่ยวข้องไปจับตาดูอยู่แล้ว
2) วันเดียวกัน หลังการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม พ.ต.ท.พงศ์พร แถลงข่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติให้ตนออกมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจ และจะไม่ตอบคำถามใดๆ โดยเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีของบก.ปปป.และป.ป.ช. ถ้าต้องการทราบข้อมูลให้ไปสอบถามทั้งสองหน่วยงาน การกล่าวหานั้น เป็นการกล่าวหาตามมูลหรือหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปแจ้งความ มิได้กระทำในลักษณะที่มีอคติ แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องไปกระทำ และกระทำแล้วก็มิได้ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งเจ้าหน้าที่ หรือพระสงฆ์เป็นผู้กระทำผิด เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างชั้นสอบสวน ซึ่งใน ขั้นตอนนี้ถ้าไปที่ป.ป.ช.เรียกว่าชั้นการไต่สวน และวินิจฉัย ซึ่ง ป.ป.ช.ยังมิได้เริ่มเลย จึงยังไม่มีพยานหลักฐานครบถ้วน ที่จะพิสูจน์ได้ว่า ใครผิดใครถูก ขณะนี้ยังไม่มีผู้กระทำผิด และรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้แล้วว่าบุคคลได้รับการสันนิษฐานว่ายังบริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษา จนถึงที่สุดว่ากระทำความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแจ้งความดำเนินคดีอีก 7 วัด ในวันใด พ.ต.ท.พงศ์พร ตอบเพียงว่า “ครับ” แล้วเดินออกจากห้องแถลงข่าวทันที
รายงานข่าวแจ้งว่าการแถลงข่าวของพ.ต.ท.พงศ์พร ภายหลังการประชุมมหาเถรฯ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้กลับมา ดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักพระพุทธฯ เมื่อช่วงปลายเดือนก.ย. 2560
สาเหตุที่พ.ต.ท.พงศ์พรต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจงกรณีแจ้งความกล่าวหา 5 พระเถระ ซึ่ง 3 ใน 5 รูปเป็นกรรมการมหาเถรฯ ด้วยนั้น เนื่องจากในระหว่างการประชุมมหาเถรฯ ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานการประชุมนั้น ปรากฏว่ากรรมการมหาเถรสมาคม แต่ละรูป ทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย ได้สอบถามถึงความรับผิดชอบของพ.ต.ท.พงศ์พร ต่อความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้น เพราะคณะสงฆ์ช่วยกันรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพ.ต.ท.พงศ์พร จะแสดงความ รับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมยังสอบถามพ.ต.ท.พงศ์พร ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมด้วยว่า ทำไมถึงไม่สอบถามที่มาที่ไปก่อน ทั้งที่ก็เข้าประชุมมหาเถรฯ ด้วยกันอยู่แล้ว แต่พ.ต.ท.พงศ์พรชี้แจงเพียงว่า “ทำไปตามหน้าที่ โดยไม่มีอคติ”
3) วันที่ 21 เมษายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนได้หารือกับ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตการใช้งบประมาณของรัฐที่แบ่งเป็น 3 เรื่อง ได้แก่ เงินอุดหนุนเพื่อการปฏิสังขรณ์วัด, เงินอุดหนุนด้านการศึกษา และเงินอุดหนุนเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จนกระทั่งในช่วงต้นเดือนเมษายน บก.ปปป. พบข้อมูลว่า มีข้าราชการระดับสูงระดับอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้าราชการอีกหลายคน รวมถึงวัด เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุนดังกล่าว จึงส่งหนังสือกลับไปยัง พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา
นายสุวพันธุ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ บก.ปปป. เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเกี่ยวพันกับข้าราชการ รวมถึงบุคคลภายนอก เอกชน และบุคคลทั่วไป จึงส่งเรื่องต่อไปยัง ป.ป.ช. ดังนั้น ขณะนี้เรื่องทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งพลเอก ฉัตรชัย และตนเห็นตรงกันว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการจะให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีให้ไว้ โดยยึดกฎหมายและระเบียบของราชการนอกเหนือจากการสอบสวนของ ป.ป.ช.
ส่วนที่เกี่ยวกับพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมนั้น ควรแยกออกจากกันระหว่างกระบวนการยุติธรรมและงานของคณะสงฆ์ ส่วนจะเชิญพระผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากมหาเถรสมาคมหรือไม่นั้น มองว่าไม่ใช่เรื่องของทางโลก แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายต้องการทำนุบำรุงศาสนา โดยรัฐบาลก็ต้องทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองต่อไป
เมื่อถามว่าหากมีพระผู้ใหญ่กระทำความผิดจริงจะไม่มีการละเว้นหรือไม่นั้น นายสุวพันธุ์ตอบว่า ตนไม่สามารถตอบได้ ตอบได้เพียงว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน
4) เว็บไซต์ PHENKHAO ระบุว่า มีรายงานลับระบุว่า ในการประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น “พ.ต.ท.พงศ์พร” ต้องเผชิญกับแรงกดดันมากมายจากการทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเฉพาะการกลั่้นแกล้ง ไม่นำส่งคำกล่าวเรียนสมเด็จพระสังฆราช แต่เจ้าหน้าที่ พศ. ใช้การนำส่งเอกสารฉบับเดียวกับที่มอบให้
นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาให้อ่านซ้ำ จากนั้่น 1 ใน 3 พระเถระระดับพระพรหม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรับรองความประพฤติของ “พระธัมมชโย” ไม่อาบัติปาราชิก รวมถึงยังมีรายชื่ออยู่ในผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดอว่าด้วยการทุจริตเงินทอนวัด ได้ให้ข้อมูลในเชิงตำหนิพ.ต.ท.พงศ์พรอย่างรุนแรงต่อสื่อมวลชน (ซึ่งปรากฏแล้วในสื่อมวลชนบางฉบับ ว่ากระทำการเสมือนไม่แสดงความเคารพเทิดทูนต่อสมเด็จพระสังฆราช-ผู้เขียน)
ไม่เท่านั้น รายงานลับระบุว่าหลังจาก นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) ซึ่งเคยเคลื่อนไหวฟ้องร้อง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” จะเดินเกมส์ยื่นหนังสือให้ตรวจสอบเพื่อเอาผิดพ.ต.ท.พงศ์พร ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีได้รับอนุมัติเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานของ นางกนิษฐา พราหมณ์เสน่ห์ ภรรยาของ พ.ต.ท.พงศ์พร ในสถานะข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ภายใต้งบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระหว่าง 29 มี.ค.-5 เม.ย.2561 ทั้งที่โครงการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ รวมถึงยังมีการตรวจสอบหลักฐานการใช้จ่ายงบประมาณตามระเบียบราชการอย่างถูกต้องแล้ว
หลังจากนี้คณะบุคคลทั้งคณะสงฆ์และฆราวาสซึ่งเกี่ยวพันกับการถูกพ.ต.ท.พงศ์พรฟ้องร้องดำเนินคดีเรื่องเงินทอนวัด ยังมีแผนการสร้างข่าวโจมตีพ.ต.ท.พงศ์พรอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเด็นส่วนตัว
ของภรรยา พ.ต.ท.พงศ์พร และการปฏิบัติหน้าที่ของพ.ต.ท.พงศ์พร ในขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าด้วยเงินสินบนรางวัลนำจับคดีการปราบปรามบริษัทเหล็กเส้นรายใหญ่แห่งหนึ่ง จนทำให้พ.ต.ท.พงศ์พรถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรในขณะนั้น (ที่มา : http://www.phenkhao.com/contents/406905)
8) อย่างไรก็ตาม ที่น่า “ถอดรหัส” ที่สุด คือ พระโอวาทของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ประทานแก่ที่ประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ความว่า
“สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราโชบายไว้ เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะสงฆ์ ว่า “พัฒนาความรู้และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึกและเป็นประโยชน์ในสังคมไทย”
มหาเถรสมาคม รับสนองพระราโชบายนี้ ด้วยการประกาศเน้นย้ำ ให้พระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ และพระเถระทั้งหลาย เอาใจใส่ในการคัดกรองบุคคลผู้จะมาบรรพชาอุปสมบท การอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรในปกครอง และการกวดขันผู้อยู่ในปกครองหรือผู้เป็นศิษย์ ให้ดำรงตนในกฎระเบียบ และพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ดังที่ท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว
อันที่จริง ท่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่นี้ ย่อมทราบดีว่า ท่านเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย
ในกฎหมายของบ้านเมืองนั้น ถ้าบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน คือถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุคคลผู้เป็นเจ้าพนักงานก็ย่อมต้องได้รับผลร้ายตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างไม่มียกเว้น กฎหมายนั้นนับเป็นบรรทัดฐานที่หนักที่สุดของสังคม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืน ก็ต้องได้รับโทษตามบทบัญญัติ
ในขณะเดียวกัน เราทั้งหลายก็ล้วนเป็นบรรพชิต ยังมีบรรทัดฐานอีกระดับหนึ่งที่เรียกว่า “พระธรรมวินัย” คอยกำกับความประพฤติไว้ พระภิกษุสามเณรนั้น ถ้าดำรงตนอยู่ในพระธรรมวินัยได้ ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ เลยว่ากฎหมายบ้านเมืองจะมาส่งผลร้ายอะไรแก่ตัวท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงวางระเบียบแบบแผนการวางตนของบรรพชิต ทั้งในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล และในฐานะที่จะมีความสัมพันธ์กันในหมู่คณะที่เรียกว่าคณะสงฆ์ ไว้อย่างครบถ้วนงดงามทุกสถานแล้ว
ในการประชุมเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศในครั้งนี้ จึงขอย้ำเตือนให้ทุกท่านได้ศึกษาทบทวน ปฏิบัติการ และกวดขันผู้อยู่ในปกครอง ให้อยู่ภายใต้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง อย่างเคร่งครัด
และขอให้ท่านยึดถือปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการอย่างมั่นคง เพื่อช่วยกันรักษาเชิดชูคณะสงฆ์ของเรา จรรโลงพุทธจักรของเรา ให้สถาพรมั่นคงเป็นหลักอยู่คู่ราชอาณาจักรไทย สมพระราชประสงค์ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ตลอดกาลนาน”
จากพระโอวาทนี้ หากตั้งสติกันดีๆ จะเห็น “สัญญาณ” ที่แน่ชัดว่า
1.สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับพระสงฆ์ไว้อย่างแน่ชัด ให้“พัฒนาความรู้และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึกและเป็นประโยชน์ในสังคมไทย”
2.สมเด็จพระสังฆราชทรงนำเรื่องนี้มาสื่อสารต่อยังพระสังฆาธิการทั่วประเทศ
3.ทรงย้ำให้คำนึงถึงทั้งพระธรรมวินัยและการเป็น “เจ้าพนักงานตามกฎหมาย” ซึ่งต้องทำให้เคร่งครัด และถูกดำเนินคดีได้
ดังนั้น ไอ้ที่เดินสายตีรวน ป่วน ผอ.สำนักพุทธอยู่ตอนนี้ พึงอ่านสัญญาณให้ดีๆ โดยเฉพาะประเด็นที่อ้างว่า ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ ไม่มีหน้าที่ไปแจ้งความเอาผิดพระเถระชั้นผู้ใหญ่นั้น ไปทำความเข้าใจเรื่องการเป็น “เจ้าพนักงานตามกฎหมาย” ที่ต้องถูกตรวจสอบ ดำเนินคดีได้ อีกสักหน
แล้วจะหายคลั่งไปเอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี