เมื่อ 2–3 วัน ที่ผ่านมานายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ตามที่คณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นชอบได้กล่าวถึงแผนปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมว่าการทำแผนปฏิรูปดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้หรือไม่
แต่พิจารณาแล้วบอกว่ายังไม่ใช่ จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่เพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยได้ประชุมนัดแรกหลังสงกรานต์ที่ผ่านมาและจะใช้สถานที่การประชุมคือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นายมีชัยเผยว่า คณะกรรมการชุดที่ตั้งขึ้นมาใหม่ สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาในแผนปฏิรูปได้หรือไม่ นายมีชัยตอบว่า ทำได้ และไม่จำเป็นต้องยึดแผนปฏิรูปดังกล่าว เพราะสามารถพูดคุยกันได้หากสิ่งที่ทำมาเป็นเรื่องดี
การปฏิรูปตำรวจที่ผ่านมายังมีความเกรงใจตำรวจจึงจะต้องปรับแก้ไขใหม่ และมั่นใจว่าคณะกรรมการชุดนี้จะพิจารณาจากแก่นปัญหาอย่างแท้จริง โดยไม่เกรงใจใคร และจะยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ความสำคัญในการปฏิรูป 2 เรื่อง คือ การศึกษาของประเทศและกิจการตำรวจ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้กำหนดให้ปฏิรูปตำรวจภายใน 1 ปี หากพ้นระยะเวลาดังกล่าว การแต่งตั้งโยกย้ายต้องยึดหลักอาวุโส ซึ่งขณะนี้ครบ 1 ปีแล้ว ดังนั้นต้องใช้ระบบอาวุโสการแต่งตั้งไม่ใช่เกณฑ์นี้สามารถฟ้องร้องได้ ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายปฏิรูปตำรวจที่จะทำไม่ทันกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในเดือนตุลาคม ปี 2561 นี้ ฉะนั้นหลักการแต่งตั้งตำรวจจะต้องยึดลำดับอาวุโสตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
บางเรื่องนั้นเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่เช่น ให้อัยการเข้ามาในเรื่องการสอบสวน ซึ่งเกินอำนาจหน้าที่ แต่ว่ามันอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ที่จะเป็นคนดูแล นายมีชัยก็มีอำนาจในการที่จะปรับปรุงแก้ไขได้
ประเทศไทยมีระบบงานตำรวจที่ไปอิงกับโครงสร้างของเหล่าทัพคือทหารเป็นเรื่องที่แปลกไปกว่ากิจการตำรวจในประเทศที่พัฒนาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยของเรานั้นมีอำนาจมากกว่าตำรวจในนานาอารยประเทศสามารถสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมต่างๆ ได้แบบสมบูรณ์จึงทำให้ไม่มีการคานอำนาจในขณะที่ในต่างประเทศนั้นอำนาจการสอบสวนคดีอาญาเป็นของสำนักงานอัยการ หรือฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ซึ่งบางครั้งเรียกว่ากระทรวงโฮมแลนด์
รัฐบาลคสช.ที่มีพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปกิจการตำรวจมาหลายปีแล้วแต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังทำงานช้ามากเพราะผ่านมาครบ 4 ปี แล้วการปฏิรูปตำรวจไม่ค่อยจะคืบหน้าเท่าใดนักอาจจะเป็นเพราะ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาจนถึงพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนปัจจุบัน เป็นบุคคลที่ฝ่ายรัฐบาลเกรงใจก็เป็นไปได้
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากมายตั้งแต่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอดีตตำรวจ เป็นบุคคลที่ตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาให้มาขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกไปจากกิจการตำรวจในนานาประเทศเพราะตำรวจนั้นทั่วไปแล้วต้องขึ้นกับการปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
เช่นขึ้นกับเทศบาลนคร เทศบาลเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการรัฐ ในอดีตตำรวจไทยขึ้นกับกระทรวงนครบาลและกระทรวงมหาดไทย ระบบการทำงานนั้นอาศัยแบบอย่างของตำรวจในสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อคณะราษฎรใต้การนำของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ก่อรัฐประหารเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ตำรวจถูกปรับปรุงให้มามีลักษณะเหมือนกองทัพมากขึ้น
โครงสร้างตำรวจมีการพัฒนามาเป็นทหารมากขึ้นในยุคจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นผู้นำได้โอนทหารคือพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ภายหลังก็มีทหารเข้ามาเป็นอธิบดีกรมตำรวจอีกเช่น พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์, จอมพลประภาส จารุเสถียร, พลตำรวจเอกประจวบ สุนทรางกูร, พลตำรวจโทวิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ฯลฯ
แม้ภายหลังทหารจะไม่มาเป็นตำรวจแต่โครงสร้างตำรวจก็ยังโยงยึดคล้ายกองทัพยิ่งอำนาจการสอบสวนยังอยู่ในมือตำรวจตำรวจจึงมีอำนาจมากถ้าหากจะปฏิรูปตำรวจให้อำนวยความเป็นธรรมมากขึ้น รัฐบาลต้องแยกอำนาจการสืบสวนจับกุมคดีอาญากับอำนาจการสอบสวนคดีอาญาออกจากกันเด็ดขาดนั่นคือให้อัยการทำหน้าที่สอบสวนส่วนตำรวจมีอำนาจจับกุมผ่านการออกหมายศาลแบบสากล
และรัฐบาลก็ต้องพิจารณาแก้ไขกฎหมายอีกหลายยกหลายฉบับให้ตำรวจไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงมหาดไทย ตำรวจไม่จำเป็นต้องมียศนายพลตำรวจแบบทหาร และตำรวจต้องมีอัตราเงินเดือนที่เหมาะสมมากกว่าที่ได้รับในปัจจุบันเพื่อไม่ให้ไปแสวงหาประโยชน์หรือที่เรียกว่ากินคดีอีก ซึ่งจะเป็นไปได้อยู่ที่รัฐบาลว่าจะกล้าทำหรือเปล่าเท่านั้น
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี