ในอดีต เมื่อครั้งรายการมองต่างมุม ที่ผมเป็นผู้ดำเนินรายการ ออกเดินสายสัญจร ไปรับฟังความเห็นของประชาชน ในลักษณะ “ตลาดความคิดเสรี เวทีประชาชน” ที่จังหวัดต่างๆ
ครั้งนั้น สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ประชาชนจังหวัดต่างๆ แสดงความเห็นชื่นชอบ และอยากจะให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ให้กระทรวงมหาดไทยส่งใครมาเป็นผู้ว่าฯโดยไม่ฟังเสียงประชาชนในจังหวัด มองต่างมุมเดินสายไปจังหวัดใดก็มีแต่คนทวงถามรัฐบาลชวนว่าเมื่อไหร่ความคิดนี้จะเป็นจริง
ที่เขาทวงถาม ก็เพราะมีผู้สมัคร สส.ประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไปปราศรัยหาเสียงไว้ว่าถ้าประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด มารู้ภายหลังว่าพรรคไม่ได้ประกาศนโยบาย เป็นเพียงความเห็นของผู้สมัคร สส.ของพรรคประชาธิปัตย์
มาครั้งนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศเป็นนโยบายเบื้องต้นว่าจะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผมจึงสนใจว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ดีอย่างไร?
ยิ่งเลขาฯ กปปส. คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยประกาศกลางเวทีผู้ชุมนุมว่าจะต้องปฏิรูปบ้านเมือง และสิ่งสำคัญต้องกระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด
ค้นพบว่า 16 ก.ค. 2557 คุณถวิล ไพรสณฑ์ ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่ง เขียนบทความ “เหตุผลที่ต้องเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด” เห็นว่ามีข้อมูลความคิดที่น่าสนใจ จึงขอนำบางส่วนมาอ้างถึงในบทความนี้
คุณถวิลเล่าว่า เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโตเกียวคนหนึ่ง เคยมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปรียบเทียบว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นย่อยยับ ต่างกับไทยที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากกว่าญี่ปุ่นมาก แต่ทำไมญี่ปุ่นจึงสามารถบริหารจัดการบ้านเมืองเจริญรุดหน้าไปได้มาก และรวดเร็วกว่าประเทศไทย
คำตอบที่ได้ คือ ญี่ปุ่นมีการกระจายอำนาจที่แท้จริง
มีสภาจังหวัดที่เป็นตัวแทนของประชาชน ที่คอยควบคุมตรวจสอบฝ่ายบริหารทุกระดับที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกัน
เมื่อไม่มีราชการส่วนภูมิภาคที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารและตรวจสอบ เขาจึงบริหารด้วยใจรักในท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งแน่นอน ในตอนเริ่มแรกก็มีบางพื้นที่มีการทุจริต แต่ก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
เมื่อลดราชการส่วนกลางลง ก็เพิ่มการทำงานของท้องถิ่นมากขึ้น เราจึงพบสถิติ ความจริงที่น่าสนใจ
ตารางสถิติเปรียบเทียบ ญี่ปุ่น-ไทย
สถิติข้อมูลข้างต้น บอกกับเราว่า ญี่ปุ่นมีประชากรมากกว่าไทยประมาณ 2 เท่าตัว มีจำนวนกระทรวงและจำนวนรัฐมนตรีน้อยกว่าเราเกือบ 2 เท่าตัว
ญี่ปุ่นมีข้าราชการส่วนกลางน้อยกว่าไทยถึง 4 เท่าตัว แต่ญี่ปุ่นมีเจ้าหน้าที่จังหวัดและท้องถิ่นมากกว่าไทยถึง 8 เท่าตัว
ในยุคประเทศไทย 4.0 ที่ข้อมูลหลั่งไหลทั้งต่างประเทศ ในประเทศ และในท้องถิ่นต่างๆ หากเรายังใช้วิธีส่งข้าราชการไปปกครอง บริหารท้องถิ่นต่างๆ ทุกอย่างก็จะยังรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง
1.ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกของประชาชนในท้องถิ่น ย่อมรู้จักปัญหาและศักยภาพของท้องถิ่นตนดีกว่าคนที่แต่งตั้งจากที่อื่น
2.ผู้ว่าฯจากการแต่งตั้งไม่มีอิสระ ไม่สามารถกำหนดแนวนโยบายการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับท้องถิ่นของตน เพราะต้องฟังคำสั่งจากส่วนกลาง
ความดีความชอบ ก็ขึ้นอยู่กับส่วนกลาง การโยกย้ายก็ขึ้นอยู่กับส่วนกลาง ต้องทำงานเพื่อให้นายพึงพอใจ จะต้องวิ่งเต้นล็อบบี้เพื่อโยกย้ายไปในจังหวัดที่พึงปรารถนาของตน จังหวัดหนึ่งๆ จึงมีผู้ว่าฯโยกย้ายบ่อยครั้ง เคยมีบางจังหวัด ใน 2 ปี มีการโยกย้ายเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ 5-6 คนก็มี
3.เมื่อโยกย้ายก็ยากจะเข้าใจปัญหา ศักยภาพของพื้นที่ และที่สำคัญ ไม่เข้าใจวัฒนธรรมชีวิต การกิน การอยู่ การหลับนอน ภาษาท้องถิ่น และความคิดความสัมพันธ์ของคนท้องถิ่น ต้องใช้เวลานานทำความเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องจากไป
เมื่อมารับตำแหน่งจังหวัดใด พ่อค้า คหบดี ผู้รับเหมา นายทุน และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นจะเข้าหา ให้ข้อมูล ปลุกและฝังความคิดเห็นเป็นปฐม ประชาชนทั่วไปจึงเกือบจะเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ และขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
4.มีผู้กริ่งเกรงว่า ถ้าเลือกตั้งผู้ว่าราชการ จะได้ผู้มีอิทธิพลในจังหวัดเป็นผู้ว่าฯ ซึ่งความห่วงใยนี้ เป็นปัญหาอยู่จริงในบางพื้นที่ แต่หากไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ก็ยังคงมีอยู่ แต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังดังเช่นปัจจุบัน ซึ่งผู้ว่าฯหลายคนก็ต้องโอนอ่อนหรือเข้าเป็นพวกด้วย
การมีระบบที่เปิดให้ผู้มีอิทธิพลแสดงตัว จะดีกว่าหรือไม่ เพราะทั้งประชาชนในท้องถิ่นและส่วนกลางก็มีระบบและวิธีตรวจสอบจัดการได้ ดีกว่าให้เขาแอบอยู่เบื้องหลัง
5.ผู้ว่าฯจากการแต่งตั้งขาดการตรวจสอบถ่วงดุลจากท้องถิ่น แม้จะมีสภาจังหวัด แต่สมาชิกสภาจังหวัดก็ถูกห้ามไม่ให้ตรวจสอบผู้ว่าฯและข้าราชการหน่วยต่างๆ ให้ตรวจสอบได้เพียงผู้บริหารองค์การปกครองส่วนจังหวัด (อบจ.) เท่านั้น การตรวจสอบจึงอาศัยแต่เพียงจากส่วนกลางที่ห่างไกลความจริง
6.ผู้ว่าราชการและหัวหน้าส่วนราชการ จึงมีผู้วางตนเป็นเหมือนเจ้านายที่ถูกส่งจากส่วนกลางมาดูแล ประชาชนเข้าถึงยาก จะออกพื้นที่ก็ต้องเกณฑ์คนมาต้อนรับ มาฟังแนวคิดของผู้ว่าฯ มาขอโครงการ ขอให้เจ้านายช่วยอุปถัมภ์ช่วยเหลือ จึงมีไม่น้อยที่การอนุมัติโครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง มีผลประโยชน์ส่วนตัวของราชการ โดยที่การตรวจสอบอ่อนด้อย ประชาชนก็ยากที่จะตรวจสอบ
7.การเลือกตั้งผู้ว่าฯ และผู้นำในท้องถิ่นระดับต่างๆ เป็นการสร้างผู้นำของท้องถิ่น และเป็นการสร้างผู้นำของประเทศ
ปัจจุบัน เรามักจะบ่นกันว่า ขาดแคลนตัวเลือกที่จะเป็นผู้นำประเทศ ก็ในเมื่อระบบและโครงสร้างการบริหารงานของเราไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการคัดสรรคนที่มีศักยภาพที่ได้ผ่านงาน สะสมประสบการณ์การทำงานบริหารเพื่อสาธารณะ แล้วเราจะได้ตัวเลือกผู้นำมาจากไหน?
8.การกระจายอำนาจ ย่อมดีกว่าการกระจุกอำนาจ กระจุกผลประโยชน์
แต่การกระจายอำนาจจะช่วยให้แต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค แต่ละท้องถิ่นที่มีปัญหาแตกต่างกัน ทั้งเหนือ ใต้ กลาง อีสาน และแม้แต่จังหวัดต่างๆ ได้แก้ปัญหาที่ตรงกับความจริงและความต้องการ ไม่ใช่ส่วนกลางไปกำหนดให้ท้องถิ่นว่าทำอะไรได้บ้าง แต่ต้องให้ท้องถิ่นทำได้ทุกเรื่อง เว้นแต่อะไรที่ทำไม่ได้ เช่น มีกองกำลังทหารของตนเอง มีธนบัตรของตนเอง มีศาลของตนเอง ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ที่เหลือต้องให้ท้องถิ่นสามารถคิดสร้างสรรค์ทำได้ ใครจะรู้ปัญหาดีเท่ากับตัวเขาเอง
9.ญี่ปุ่นเป็นรัฐเดี่ยว มีพระมหาจักรพรรดิเป็นประมุข มี 47 จังหวัด มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมาตั้งแต่ปี 2490
อังกฤษเป็นรัฐเดี่ยว มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แบ่งการปกครองเป็นเมืองต่างๆ เช่น ลอนดอน แมนเชสเตอร์ ยอร์ค เป็นต้น แต่ละเมือง ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง และยังมีเมืองเล็กๆ อีกมากกว่าหมื่นเมือง และผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง
เฉกเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ในโลกที่พัฒนาได้
ข้ออ้างที่ว่า ไทยเป็นรัฐเดี่ยว จะเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ได้ จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ได้ เพราะรัฐเดี่ยวที่มีกษัตริย์อย่างอังกฤษและญี่ปุ่น เขาก็เลือกตั้งผู้ว่าฯกันทั้งนั้น
10.ส่วนกลางก็อาจปรับเปลี่ยนอำนาจหน้าที่ ผู้ที่เคยเป็นผู้ว่าฯจากส่วนกลาง เป็นผู้ให้คำปรึกษา ตรวจสอบ บูรณาการประสานการดำเนินงานกับจังหวัดและท้องถิ่นอื่น
คสช.และพรรคการเมืองอื่นๆ จะว่าอย่างไร?
เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงจุดยืนของการกระจายอำนาจด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ประชาชนอย่างพวกเราก็ต้องเฝ้าติดตามว่า หากประชาธิปัตย์ได้บริหารประเทศ นโยบายเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่? รวดเร็วแค่ไหน?
และหากพรรคการเมืองอื่นมีนโยบายเรื่องนี้อย่างไรก็ควรรีบแจ้งแก่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงโดยด่วนครับ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี