ปรากฏการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นในทางการเมืองของประเทศไทย พร้อมๆ กับการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้ง และนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แม้เรื่องราวที่วิพากษ์วิจารณ์จะมีหลายแง่หลายมุม แต่สรุปได้เพียงสองประเด็นคือ วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเกิดพลังการดูดทางการเมืองที่รุนแรงยิ่งกว่ารถดูดส้วม และการใช้งบประมาณไปซื้อตัวอดีตนักการเมืองให้มาสนับสนุน
สำหรับประเด็นที่ว่า ได้เกิดพลังดูดทางการเมืองที่รุนแรงยิ่งกว่ารถดูดส้วมนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไมมี เพราะที่ผ่านมานั้นก็มีการดูดทางการเมืองต่อเนื่องตลอดมา พูดให้ชัดก็คือ มีการซื้อตัว สส. ให้มาสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ จนเป็นเรื่องราวที่คู่กับการเมืองของบ้านนี้เมืองนี้ไปเสียแล้ว
จะแตกต่างกันบ้างก็จำนวนค่าซื้อตัวนักการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ และการอำนวยประโยชน์โดยใช้เงินงบประมาณเป็นเครื่องมือ
ดังเช่นการจัดงบ สส. และการให้โครงการในพื้นที่แก่นักการเมือง
ซึ่งรู้กันดีว่า งบ สส. ก็ดี งบประมาณที่ให้เป็นโครงการก็ดี ต่างก็เป็นวิธีจ่ายเงินทอนให้กับนักการเมืองชนิดหนึ่ง เพราะงบเหล่านี้เมื่อให้กันไปแล้วก็เป็นที่รู้กันว่า นักการเมืองคนไหนที่จะเป็นผู้เสนอโครงการ และเห็นชอบในการใช้งบประมาณดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการโกงชาติชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะโกงกันตั้งแต่ 10-50% และเป็นต้นเหตุของความเสียหายยับเยินของบ้านเมืองทุกวันนี้
บางยุคบางสมัยแรงดูดรุนแรงหนักหน่วง คือแทนที่จะดูดเป็นรายตัวรายคน ก็ขยายไปถึงการดูดยกพรรค และมีการพูดถึงราคาค่าดูดกันเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ซึ่งค่าดูดเหล่านี้ก็คือเงินแผ่นดิน หรือผลประโยชน์ของชาติที่โกงเอาไปใช้สอยทั้งสิ้น
ดังนั้นประเด็นการดูดจึงเป็นการพูดกันไปอย่างนั้นเอง เข้าลักษณะพูดเอามัน ทั้งๆ ที่ ความจริงก็รู้กันอยู่ว่า การดูดนี้ทำกันมาทุกยุคทุกสมัย ถึงจะปฏิเสธอย่างไรก็รู้แก่ใจตัวเองดีว่าดูดกันอย่างไร
สำหรับประเด็นที่สอง คือการที่นักการเมืองมายื่นเรื่องขอโครงการเพื่อให้รัฐบาลจัดโครงการไปลงในพื้นที่ของตนนั้นเป็นเรื่องใหม่ เพราะเป็นการขอโครงการกันตั้งแต่ไม่มีการเลือกตั้ง ต่างกับอดีตที่นักการเมืองจะขอโครงการกับรัฐบาลหลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว และรัฐบาลนั้นเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
การได้โครงการไปเป็นจำนวนวงเงินเท่าใด ก็สามารถคำนวณเงินทอนแก่นักการเมืองได้ เพราะมีอัตราปกติระหว่าง 20-50% ขึ้นกับยุคสมัย
และความหิวโหย รวมถึงผลประโยชน์ร่วมทางการเมือง
แต่ครั้งนี้แตกต่างกันตรงที่นักการเมืองเปิดเผยเรื่องการขอโครงการกันตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง เช่น การขอโครงการจำนวน 6,000 ล้านบาท ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่สุโขทัย
และล่าสุดก็คือการขอโครงการวงเงิน 10,000 ล้านบาท ที่บุรีรัมย์ โดยมีการระดมประชาชนมาเข้าร่วมงานต้อนรับนับหมื่นคน
ก็คงจะเป็นแบบอย่างให้แก่นักการเมืองกลุ่มอื่นที่จะขอโครงการลงพื้นที่ของตนเช่นเดียวกันด้วย ซึ่งน่าจับตาว่าจะมีใครขอโครงการจากรัฐบาลอีกหรือไม่ ในวงเงินเท่าใด
ความจริงการที่นักการเมืองไปเสนอโครงการแก่รัฐบาลนั้นก็อาจเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากเรื่องโครงการที่เสนอนั้นเป็นความเรียกร้องต้องการ และก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยไม่มีผลประโยชน์และเงินทอนซุกซ่อนอยู่ในวงเงินที่ขอนั้น
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่นักการเมืองขอโครงการก่อนการเลือกตั้งที่นั่น 6,000 ล้านบาท ที่นี่ 10,000 ล้านบาท และอาจจะมีบางที่หลายหมื่นล้านบาท จึงเป็นปรากฏการณ์หรือวัฒนธรรมใหม่ทางการเมืองในยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นทางให้ได้มาซึ่งรัฐบาลในฝันที่ทุกคนปรารถนา หรือชิงชังรังเกียจกันแน่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี