คนเสพข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ เหมือนคนนั่งอยู่ริมคลอง ต้องรู้จักกลั่นกรองว่า ไอ้ที่ไหลมาเทมา เป็นสวะ ขยะ หรือน้ำใสๆ ก่อนที่จะ “ดื่มกินเข้าไป” ต้องดูให้ถี่ถ้วนว่าข่าวสารที่ได้รับ มีอะไรปนเปื้อนหรือเปล่า
ครั้นจะหวังให้ “สถาบันสื่อ” ช่วยทำหน้าที่ “กรอง” ให้เราก่อน นับวันก็หวังพึ่งแทบไม่ได้ เข้าไปในสื่อออนไลน์ ต้องระวังตัวแจเหมือนเดินเข้าไปใน “ดงระเบิด” หรือพื้นที่ “ดักสัตว์”
ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ thaipost.net พาดหัวข่าวว่า
“สรรพสามิต” อ้างคนไทยดื่มสุราลดลง ทำรีดรายได้วืด 2.28 พันล.
อ่านแล้วก็อดสาปแช่งไม่ได้ ว่าไอ้สรรพสามิตนี่มันเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร แทนที่จะดีใจว่าคนบริโคน้ำเมาลดลง กลับห่วงแต่เรื่อง
“รายได้
คลิกเข้าไปอ่านเนื้อข่าว ถึงได้รู้ว่า “ติดกับ” พาดหัวข่าวเสียแล้ว เพราะในเนื้อข่าวบอกว่า
“...นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในรอบ 7 เดือน ปีงบประมาณ 2561
(ต.ค.2560-เม.ย.2561) ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ลดลงมาก เนื่องจากระยะหลังคนไทยดื่มเบียร์ และสุราน้อยลง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ปกติจะเป็นเทศกาลที่คนไทยบริโภคเยอะและจัดเก็บรายได้สูง แต่ปีนี้หลังจากภาครัฐมีการออกมาตรการรณรงค์การงดดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ควบคู่ไปกับการจัดโซนนิ่งในการห้ามดื่มสุรา และเบียร์ตามสถานที่เล่นน้ำ และสถานีขนส่งต่างๆ ก็ทำให้ยอดขายและการเก็บภาษีน้อยลง
นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากโรงงานผลิตเบียร์ได้ปรับสูตรการผลิตใหม่ โดยลดปริมาณแอลกอฮอล์ รวมถึงลดขนาดสินค้าให้เล็กลง เช่น เดิมมีปริมาณแอลกอฮอล์ผสม 5% ก็ลดลงเหลือ 3% รวมถึงได้ปรับขนาดเบียร์กระป๋องลดจาก 350 ซีซี เหลือ 330 ซีซี เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากการถูกเก็บภาษีเพิ่มเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลให้กรมสรรพสามิตเก็บภาษีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ลดลงตามไปด้วย เนื่องจากการเก็บภาษีจะวัดจากแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีที่ลดลงก็เป็นผลดีในเชิงสังคมและสุขภาพคนไทย ที่ดื่มเหล้าและเบียร์น้อยลง”
ประโยคสำคัญที่มันไม่ปรากฏในพาดหัวข่าวก็คือ “อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีที่ลดลงก็เป็นผลดีในเชิงสังคมและสุขภาพคนไทย ที่ดื่มเหล้าและเบียร์น้อยลง” ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว มิสมควรโดนด่า แต่พาดหัวข่าวก็ “ล่อเป้า” ให้คนที่ “อ่านน้อย” อ่านเฉพาะพาดหัวข่าว ก่นด่ากันสารพัดไปแล้ว
จะโทษใครดีครับ สื่อที่พร่องความซื่อตรง พาดหัวข่าวให้เข้าใจผิด ยั่วยุอารมณ์ หรือคนอ่านที่อ่านไม่จบเอง สื่อเขาไม่ผิดหรอก เอาไงกันดี?
ในยุคที่สื่อต้องหาทาง “อยู่รอด” ต้องหาคลิก หาไลค์ หาแชร์ไปแลกเงิน จนต้องยอมพาดหัวข่าวล่อเป้า ดักสัตว์ เขาผิดหรือครับที่เขาทำอย่างนั้น เนื้อหาเขารายงานครบถ้วนนี่ครับ ใครใช้ให้อ่านแต่พาดหัวข่าวกันล่ะ
คนอื่นคิดอย่างไรไม่ทราบนะครับ แต่ผมถือว่า ความรับผิดชอบต้องมีในทุกบรรทัด
สื่อ...ต้องให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน
สื่อ...เป็นสื่อกลางของการแสวงหา “องค์ความรู้” มาเคียงข่าว
สื่อ...เป็นตัวกลางนำ “ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์” มาสู่ผู้อ่าน ผู้ฟัง และผู้ชม
สื่อ...ต้องให้ทั้ง “ความจริง” และ “ความคิด” แก่ผู้คน ไปพร้อมๆ กับการ “รายงานสิ่งที่เกิดขึ้น”
ยกตัวอย่างเช่น แนวหน้าออนไลน์ รายงานว่า...
“15 พ.ค.2561 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค “Pichai Naripthaphan”ระบุใจความว่า ยกตัวอย่างแบบมหาเธร์ ของมาเลเซีย ประเทศไทยถ้าเลือกได้จริง ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ ชวน หลีกภัย คุณคิดว่า ประชาชนจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ???
นอกจากนี้ นายพิชัย ยังโพสต์แสดงความเห็นอีกว่า เอาเลย ดีเลย มาเป็นหัวหน้าพรรค ปชป. แทนมาร์คเลย ดูสิจะมีใครเลือกให้เป็นนายกฯ ??? ชูชวนแสดงว่า หมดหวังกับอภิสิทธิ์แล้วใช่ไหม???”
เรา-ซึ่งเป็น “นักเขียนประจำ” ก็ต้องช่วย “เติมสติ” และ “ความคิดที่ถูกต้อง” แก่ท่านผู้อ่านว่า
1) วิธีคิดของนายพิชัยนี่ “วิปริต” ไปจากข้อเท็จจริงมากครับ
2) สังคมพึงทราบว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นนายเหนือหัวของนายพิชัยนั้น “ขาดคุณสมบัติ” ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว “ชั่วชีวิต”
3) เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ นายทักษิณ ถูกศาลพิพากษาจำคุก จากคดีที่ดินรัชดา แต่นายทักษิณหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ยังไม่สามารถขอความร่วมมือจากประเทศใด ให้จับกุมตัวส่งกลับมารับโทษในประเทศไทยได้ พร้อมทั้งถูกถอดยศ “พันตำรวจโท” และมีหมายจับอีกหลายคดีด้วย
4) ดังนั้น ด้วย “เงื่อนไข” ทางกฎหมาย นายทักษิณดำรงตำแหน่งอะไรไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ที่นายพิชัยแกเพ้อเจ้อ หรือทำทีเป็นสมมุติขึ้นว่า “ถ้าเลือกได้จริง ระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ ชวน หลีกภัย คุณคิดว่า ประชาชนจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ???”
5) สิ่งที่นายพิชัยสมมุติเพ้อขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นได้กับนายชวน หลีกภัย เพราะนายชวนยังมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่มีคดีใดติดตัว ไม่เคยต้องคำพิพากษา และที่สำคัญ คือ “ยังอยู่ในประเทศไทย” เดินทางไปไหนมาไหนบนแผ่นดินนี้ได้อย่างสง่างาม
6) กรณีนายชวนจะเป็นนายกฯ หรือไม่เป็นนี่ เริ่มต้นมาจากไหน เริ่มต้นจากการให้สัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านรายการ “ต้องถาม” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “ฟ้าวันใหม่” เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ ซักถามนายอภิสิทธิ์เรื่องการเลือกตั้งในประเทศมาเลเซีย จนมาถึงประเด็น ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อายุเยอะแล้ว ยังได้รับการเลือกให้เป็นผู้นำของประเทศ เป็นไปได้ไหม ที่นักการเมืองอาวุโสอย่างนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นเช่นนั้น
นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ถ้าพูดถึงอายุ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อายุน้อยกว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด แต่เป็นบุคคลที่ยังมีผู้คนนับถือศรัทธาอยู่มาก ส่วนตัวมองว่า ท่านเป็นแบบอย่างในการเป็นนักการเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตย ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตยสุจริต สนอกสนใจปัญหาของประชาชน และยังทำงานไม่หยุดเลย เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยสนับสนุนท่าน แต่ที่ผ่านมา ท่านเองเป็นคนแสดงออกว่า “ท่านไม่รับ” แต่เรื่องนี้เป็นอนาคตที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ เพราะหากได้รับการปลดล็อก ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ รวมถึงหัวหน้าพรรคใหม่ จากนั้นจึงจะไปถึงการเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ส่วน 1 ใน 3 รายชื่อผู้ที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นตนหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีคนลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรประชาธิปัตย์หรือไม่
นี่เป็นที่มา และสื่อหลายสำนักเอาไปเขียนข่าวโดยไม่อ้างอิงเลยว่า มาจากรายการ “ต้องถาม” นี้
7) นายอภิสิทธิ์ก็พูดถูกแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือ หลังปลดล็อกพรรคต้องเลือกรรมการบริหารชุดใหม่ เลือกหัวหน้าพรรคกันใหม่ ซึ่งจะเป็นใครก็ไม่รู้ หลังจากได้กรรมการบริหารพรรค ได้หัวหน้าพรรค แล้วนั่นแหละ จึงจะรู้ว่าแนวทางจะไปอย่างไรต่อ และเมื่อมีการเลือกตั้ง โดยกฎหมาย พรรคก็ต้องเสนอชื่อบุคคลที่พรรคจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามที่กฎหมายระบุอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้ทุกพรรค ซึ่งจะเสนอ 1 ชื่อ 2 ชื่อ หรือ 3 ชื่อก็ได้ทั้งนั้น เพราะกฎหมายให้เสนอได้ไม่เกิน 3 ชื่อ เมื่อเป็นเรื่องของอนาคต และพรรคประชาธิปัตย์เขามีระบบ ระเบียบ มีวัฒนธรรมองค์กรที่เคร่งครัด จะให้นายอภิสิทธิ์พูดไปเองว่า กรณีนายชวนเป็นนายกฯ จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ มันจึงยังพูดไม่ได้ในเวลานี้ แต่ท่านเป็นนักการเมืองที่ดี ที่เป็นแบบอย่างไหม นายอภิสิทธิ์ก็ตอบได้ว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตย
8) จึงไม่รู้ว่าผีห่าซาตานปัญญาเขลาตนใด ดลใจให้นายพิชัย (ซึ่งอาจจะโง่เอง ไม่เกี่ยวกับผีเลยก็ได้) เอานายชวนขึ้นมาเป็นประเด็น เทียบกับ “คนหนีคุก” อย่างนายทักษิณ และพาดพิงไปในทำนองว่า “หมดหวังกับนายอภิสิทธิ์กันแล้วสิ ถึงได้เสนอชื่อนายชวนขึ้นมา”
คุณพิชัยครับ กลับไปเสนอให้พรรคของตัวเองมีระบบ “เลือกหัวหน้า” ให้ได้ก่อนเถอะนะ ไม่ใช่ให้คนหนีคุกชี้นิ้วเลือกเอาตามอำเภอใจ นั่นไม่ใช่ระบบที่ดีเด่อะไร และคุณพิชัย หากคิดจะเป็นนักการเมือง ที่ดี ควรเป็นผู้นำในการสร้างค่านิยม “เกลียดคนโกง” ให้เป็น
ไปดูคดีทักษิณที่เหลือ ที่จะทยอยเข้าสู่การพิจารณาของศาลดูสิ
1.คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในเครือกฤษดามหานครกว่า 9,000 ล้านบาท (คดีกรุงไทย) คดีนี้อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกาฯ) นัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 20 มิถุนายน 2561
2.คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทเครือชินคอร์ป (คดีเอ็กซิมแบงก์) โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาฯนัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 4 กรกฎาคม 2561
3.คดีแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท อัยการสูงสุดโจทก์ ศาลฎีกาฯ นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 10 กรกฎาคม 2561
4.คดีโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ขัดต่อพ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล และ พ.ร.บ.เงินคงคลัง ทำให้รัฐ เสียหาย 14,862 ล้านบาท (คดีหวยบนดิน) ซึ่งคตส.เป็นโจทก์ ป.ป.ช. เข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาครั้งแรกวันที่ 25 กรกฎาคม 2561
5.คดีเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (คดีฟื้นฟูกิจการ TPI) ศาลฎีกาฯ ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาใดๆ ออกมา
ดังนั้น ก่อนจะไปเพ้อบ้าประเด็นใดๆ จงบอกให้นายทักษิณกลับมา “แสดงความรับผิดชอบ” ด้วยการกลับประเทศไทย ต่อสู้ในคดีเหล่านี้ด้วยตัวเองเสียก่อนไหม-พิชัย นริพทะพันธุ์!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี