ล่าสุด บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลระดับพรีเมียมชื่อดังอย่าง “โรงพยาบาลกรุงเทพ” และอื่นๆ ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2561 แก่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
แค่ 3 เดือนแรก มีกำไรสูงถึง 2,919 ล้านบาท
โดยมียอดรายได้สูงถึง 20,029 ล้านบาท
รายได้ค่ารักษาพยาบาลเติบโตถึง 15% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว)
ณ วันที่ 31 มี.ค. 2561 มีเงินสดสุทธิอยู่มากถึง 6,563 ล้านบาท
1. ปัจจุบัน บริษัทดังกล่าวมีข้อพิพาทกับผู้บริโภคค้างคาอยู่
นั่นคือ ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากกรณีโรงพยาบาลกรุงเทพบอกเลิกสัญญาโครงการไลฟ์พริวิลเลจคลับ (Life Privilege Club) หรือยกเลิกสิทธิของสมาชิกในการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีพ โดยอ้างว่าเป็นสัญญาประกันภัย ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่มีใบอนุญาตทำธุรกิจประกันภัย
โครงการดังกล่าว สมาชิกต้องจ่ายเงินนับล้านบาท เพื่อจะได้รับสิทธิพิเศษและได้ใช้บริการรักษาพยาบาลไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตลอดชีวิต โดยเสียค่าใช้จ่ายในอัตราสมาชิกแค่ 100 บาทต่อครั้ง
เมื่อทางโรงพยาบาลยกเลิก สมาชิกในฐานะผู้บริโภค จึงฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวนมาก
2. ก่อนหน้านี้ ศาลแพ่งมีคำพิพากษาออกมาแล้วหลายคดี
ทุกคดี ฝ่ายผู้บริโภคเป็นผู้ชนะคดี
แนวทางคำพิพากษาระบุว่า กรณีทางโรงพยาบาลกรุงเทพบอกเลิกสัญญาโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club) หรือยกเลิกสิทธิของสมาชิกในการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีพ โดยอ้างว่าเป็นสัญญาประกันภัย ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่มีใบอนุญาตทำธุรกิจประกันภัยนั้น ศาลแพ่งพิพากษาว่า “โครงการดังกล่าวไม่ใช่ธุรกิจประกันภัย จึงให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลง และเงื่อนไขของสัญญาโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ โดยเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่โจทก์ต่อไป”
และศาลแพ่งยังสั่งด้วยว่า คุณภาพในการรักษาพยาบาล ก็ต้องเหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน ยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนมาก ที่ดำเนินการฟ้องร้องโรงพยาบาลกรุงเทพอยู่
น่าสงสัยว่า หากจริงใจกับผู้บริโภค ทำไมทางโรงพยาบาลจึงไม่ประกาศดำเนินโครงการไลฟ์พริวิเลจคลับ (Life Privilege Club) ต่อไป ตามเงื่อนไขสัญญาข้อตกลงเดิม เพื่อมิผู้บริโภค 100 กว่าคนต้องไปเสียเวลา เหน็ดเหนื่อย เสียความรู้สึก แทนที่จะต้องมารอคอยคำพิพากษาทีละคดีๆ ไป?
ทั้งๆ ที่ ผลประกอบการของบริษัทฯ ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย
กำไรสามเดือนแรกปีนี้สูงเกือบสองพันล้านบาท
มีเงินสดสะสมอยู่เกือบๆ 7 พันล้านบาท
3. แต่ล่าสุด ดูเหมือนว่าทางบริษัทฯ จะยังคงยืนยันที่จะต่อสู้คดีกับผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ต่อไป
ในรายงานการสอบทานข้อมูลทางการเงินระหว่างกาล โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ระบุเป็นข้อสังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาล ในประเด็นที่บริษัทยุติโครงการ แล้วบันทึกตัวเลขเงินที่คาดว่าจะจ่ายคืนและชดเชยให้แก่สมาชิกไว้จำนวนหนึ่ง
ผู้สอบบัญชี ระบุว่า “ข้าพเจ้าขอให้สังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลข้อ 10 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีโครงการให้การรักษาพยาบาลโดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยให้แก่สมาชิกที่ได้จ่ายค่าสมาชิกล่วงหน้าเป็นระยะเวลาตลอดชีพ ซึ่งบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ยุติโครงการดังกล่าวแล้วด้วยเหตุผลทางกฎหมายเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 และ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ตามลำดับ บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้บันทึกหนี้สินไว้ในงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 โดยถือตามตัวเลขจำนวนเงินที่คาดว่าจะจ่ายคืนและชดเชยให้แก่สมาชิกจากการยุติโครงการในปี 2560 เป็นจำนวนประมาณ 964 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯ ประมาณ 820 ล้านบาท) ซึ่งในระหว่างปี 2560 สมาชิกบางส่วนในงบการเงินรวมจำนวน 182 ราย จาก 334 ราย และในงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 151 รายจาก 282 ราย ได้ตกลงยอมรับข้อเสนอและรับเงินจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยแล้ว
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 หนี้สินจากการยุติโครงการให้การรักษาพยาบาลตลอดชีพ ซึ่งคำนวณจากจำนวนเงินค่าสมาชิกที่ต้องจ่ายคืนและเงินชดเชยที่อาจต้องจ่ายให้แก่อดีตสมาชิกที่ยังไม่ตอบรับข้อเสนอในงบการเงินรวม มียอดคงค้างจำนวนประมาณ 438 ล้านบาท (เฉพาะบริษัทฯประมาณ 380 ล้านบาท)
ในระหว่างปี 2560 มีอดีตสมาชิกโครงการดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอ ได้ยื่นฟ้องบริษัทฯและบริษัทย่อยต่อศาล เพื่อให้บริษัทฯและบริษัทย่อยดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป และอดีตสมาชิกอีกส่วนหนึ่งได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทฯและบริษัทย่อย ต่อมา ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม 2560 ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยมีสาระสำคัญคือให้บริษัทฯ ทำการรักษาพยาบาลอดีตสมาชิกในอัตราปกติแบบไม่มีส่วนลด และบางส่วนให้สมาชิกใช้สิทธิตามโครงการฯ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นโดยศาลได้ให้อดีตสมาชิกที่ได้รับการคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งศาลทำสัญญาประกันต่อศาลว่าตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวแก่บริษัทฯ หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบริษัทฯ มีสิทธิยุติโครงการดังกล่าว ทั้งนี้บริษัทฯได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ในเดือนธันวาคม 2560 และเดือนมกราคม ถึงเมษายน 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกที่ฟ้องคดีบางส่วน โดยให้บริษัทฯและบริษัทย่อยปฏิบัติตามข้อตกลงโครงการดังกล่าวต่อไป และในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน 2561 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีที่อดีตสมาชิกฟ้องคดีอีกบางส่วน โดยให้บริษัทฯปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไป และหากบริษัทฯไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของโครงการดังกล่าวต่อไปได้ ให้บริษัทฯจ่ายชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และคดีบางส่วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีความเห็นว่า จากข้อเท็จจริงและบทบัญญัติของกฎหมาย สัญญาดังกล่าวเข้าลักษณะของสัญญาประกันภัยและการยุติโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และการอุทธรณ์ของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีแนวโน้มที่จะชนะคดีได้ ดังนั้น ฝ่ายบริหารโดยอาศัยความเห็นของที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทฯและบริษัทย่อย จึงจะใช้สิทธิตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งสำหรับคดีดังกล่าวทุกคดี เพื่อให้ศาลสูงได้พิจารณาและพิพากษาคดีให้เป็นที่ยุติและเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลสูง ซึ่งผลของคดียังมีความไม่แน่นอน ดังนั้นบริษัทฯและบริษัทย่อยจึงยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ในขณะนี้ ทั้งนี้บริษัทฯและบริษัทย่อยได้บันทึกอดีตสมาชิกที่มารับการรักษาพยาบาลและยังมิได้ชำระค่ารักษาพยาบาลโดยอาศัยคำพิพากษาของศาลแพ่งดังกล่าวเป็นลูกหนี้ค้างจ่ายไว้จนกว่าศาลสูงจะมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ให้ข้อสรุปอย่างมีเงื่อนไขต่อกรณีข้างต้นแต่อย่างใด”
นั่นหมายความว่า ทางบริษัทฯ คงจะสู้คดีต่อไปถึงศาลสูงสุด
4. โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นกิจการของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จำนวน 2,893,602,540 หุ้น (คิดเป็น 18%)
หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอเสริฐ” ผู้กว้างขวาง มีธุรกิจในหลากหลายวงการ ทั้งธุรกิจการบิน โรงพยาบาล สื่อสารมวลชน ทีวีดิจิทัล ฯลฯ
ทราบว่า ลูกค้า หรือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ มีทั้งระดับนายตำรวจใหญ่มากๆ มีทั้งอดีตประธานรัฐสภา มีทั้งอดีตรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคการเมือง ฯลฯ
โรงพยาบาลสามารถจะตัดสินใจดำเนินโครงการต่อไปได้ เหมือนที่เคยโฆษณาไว้กับผู้บริโภคตั้งแต่ต้น โดยที่จะเป็นการรักษาภาพลักษณ์อันดีถึงการรักษาคำมั่นระหว่างกัน
แต่ทำไมเรื่องจะต้องยืดยาวไปกว่าจะถึงศาลสูงสุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี