น่าจะชัดเจนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้า แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงเกิดมีม็อบกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่เริ่มแสดงบทบาทมากขึ้นทุกวัน โดยมีการประกาศจะเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ขณะที่แวดวงวิชาการ สื่อมวลชน หลังจากที่ห่างหายจากการทำประเด็นด้านการเมืองก็เริ่มกลับมาให้ความสนใจ มากขึ้นกว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
และล่าสุดวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมามีการจัดงานเสวนาโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องในวันปรีดี โดยมีการจัดเสวนาในหัวข้อ อภิวัฒน์สยาม 2562 ความหวังและอนาคตประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมเสวนาจาก 4 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบ้านเมืองในอนาคต อุปสรรค และความท้าทายของการเมืองไทย
คำถามสำคัญที่เป็นประเด็นสนใจคือ หากทั้ง 4 ท่านได้เป็นนายกฯ 1 วัน ท่านจะทำอะไร? ตัวแทนจากพรรคชาติไทยพัฒนาเสนอในการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนในยุคนายกฯบรรหาร เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรม โดยมีเสียงสนับสนุนจากฝั่งพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ที่กล่าวในทำนองเดียวกันในเรื่องของการต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอมุมมองที่แตกต่างในการเร่งการกระจายอำนาจเพื่อแก้ปัญหาฐานราก ทั้งการปฏิรูปตำรวจ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ และการศึกษา ซึ่งแตกต่างแต่น่าสนใจ
ประเด็นจากการเสวนาในวันนั้นพบว่า ส่วนใหญ่ที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พูดถึงแต่เรื่องเป้าหมายของนักการเมือง และการเข้าสู่อำนาจ จึงไม่แปลกที่มุ่งประเด็นไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ได้สนใจในเรื่องของการสร้างความยั่งยืนให้ประชาชน อาจจะถูกต้องที่รัฐธรรมนูญ’60 เป็นฉบับที่มีข้อแม้ทางการเมืองเยอะ ซึ่งอาจมีผลต่อการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือไม่? และไม่น่าจะมีใครยินดีจะให้รัฐบาลทหารอยู่ยาวไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือแม้แต่ประชาชนก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อผ่านการตัดสินใจของประชาชนผ่านประชามติแล้วก็ควรถือเป็นที่สิ้นสุด และหากเชื่อมั่นในวิถีทางประชาธิปไตยก็ควรเคารพในสิทธิของประชาชนที่ลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฉบับนี้
แต่ถ้าหากใช้ไประยะหนึ่งแล้วเกิดปัญหาก็ควรได้รับการแก้ไข ในทางกลับกันเรื่องของการปฏิรูปที่กระทบถึงวิถีชีวิตประชาชน ที่ควรมีการจัดการอย่างเร่งด่วน เช่น การปฏิรูปตำรวจ การยกระดับมาตรฐานการศึกษา และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่จะนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่สมบูรณ์ เรื่องตลกคือนอกจากมีพรรคการเมืองไม่กี่พรรคสนใจเรื่องนี้แล้ว กลับถูกมองว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งก็ทำให้ใครหลายคนตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วอุดมการณ์ที่เคยบอกว่าจะเป็นเสรี เป็นความหวังใหม่ของประชาชน ถึงเวลานี้เปลี่ยนไปแล้วกลายเป็นแต่เรื่องอำนาจ ที่มาของอำนาจ การเปลี่ยนแปลงอำนาจ อย่างนั้นหรือ?
การออกมาเร่งการเลือกตั้ง การเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ’60 อาจจะเป็นการกระทำที่หวังดีกับบ้านเมือง แต่ถูกที่และถูกเวลาหรือไม่? และเป้าหมายใดเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายทำได้ตอนนี้ในฐานะผู้อาสาทำงานเพื่อบ้านเมือง ควรจะให้ความสนใจวิพากษ์วิจารณ์คือ ประเด็นการปฏิรูปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการสะท้อนผลการปฏิรูปตลอด 4 ปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่ประชาชนควรรับรู้รับทราบ มีอะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์ และที่สำคัญมีอะไรที่ประชาชนเสียประโยชน์ หรือเป็นการวางโครงสร้างที่ผิดรูปผิดรอยและขัดขวางการปฏิรูปประเทศ เช่น ในเรื่องการปฏิรูปด้านการศึกษา ตำรวจ และระบบราชการที่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงและเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในระยะเวลา 4 ปี ที่ผ่านมานี้ เรื่องสำคัญดังกล่าวกลับไม่มีการร่างกฎหมายออกมาเพื่อปรับแก้โครงสร้าง จัดระบบการบริหารงานที่ยุติธรรม ปราศจากการคอร์รัปชั่น และมีบทลงโทษที่เข้มงวดและรัดกุมแต่อย่างใด? ทั้งที่ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายชุด นับแต่มีการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่ก็ไม่พบว่ามีการลงมือปฏิรูปกันอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมเลยใช่หรือไม่?
ในทางปฏิบัติ ก็ยังพบว่ามีการซื้อตำแหน่ง การเก็บค่าคุ้มครอง ไม่ต่างจากเดิม ในเรื่องระบบการศึกษาไทย เด็กไทยก็ยังคงเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำ ได้รับโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่ไม่เท่ากัน ไม่ว่ารัฐบาลจะทุ่มงบด้านการศึกษาลงไปมหาศาลเท่าใด ในแต่ละปี ก็ยังคงพบปัญหาเด็กไทย อายุ 15 ปี จำนวน 1 ใน 3 เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก ในขณะที่งบประมาณด้านนวัตกรรม ไอที สนับสนุนสารสนเทศทางการเรียน กลับไปจมอยู่กับโรงเรียนใหญ่ๆ ดังๆ พร้อมต่อยอดช่องทางทุจริต ให้กับผู้บริหารโรงเรียนต่างๆ ที่จูงใจให้ผู้ปกครองจ่ายเงินใต้โต๊ะ เพื่อฝากลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาพร้อม?
เรื่องเหล่านี้ผู้ที่จะมาอาสาทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่คิดหรือแข่งกันเสนอว่าประเทศควรพัฒนาได้แล้ว?
เชื่อหรือไม่ว่าบางพรรคออกมาพูดเรื่องการดำเนินคดีไม่ยุติธรรม แต่ไม่เคยออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจเลยซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะยุติธรรมหรือไม่เป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ขณะที่การปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องของชาวบ้าน เรื่องของประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาล คสช. แสดงให้เห็นว่าหากเอาจริงเอาจังจัดการหลายเรื่องก็ทำได้ไม่เกินชั่วข้ามคืน ทั้งการจัดการปัญหาผู้มีอิทธิพล การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง กระทั่งการออกกฎหมายก็สามารถทำได้รวดเร็ว เช่นในวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ที่มีการประกาศกฎหมาย ออกมาพร้อมกันจำนวนมากถึง 20 ฉบับ? ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติการยาสูบแห่งประเทศไทย 2561 ที่มีออกมาเพื่อสนับสนุนให้การยาสูบแห่งประเทศไทย สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ และสามารถแข่งขันกับคู่ค้าต่างชาติขนาดใหญ่ที่มีทุนมากได้ หรือ พระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเลิกกฎหมายควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายที่ประกาศมารวดเดียว 20 ฉบับส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไกลตัวประชาชนหรือไม่?
แต่รัฐบาลกลับให้ความสนใจเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามว่ากำลังเดินไปผิดทิศผิดทางหรือไม่เรื่องที่ควรทำ และรู้ว่าจะทำไม่ได้ในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำไมถึงไม่รีบสะสาง? แต่อีกหลายคนกลับไม่สนใจติดตาม โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองจากพรรคต่างๆ ซึ่งดูจะสอดคล้องกับข้อท้วงติงของ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ตั้งข้อท้วงติงถึงการปฏิรูปว่า กลัวจะไม่เสร็จเพราะขับเคลื่อนการปฏิรูปโดยให้ข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติ ก็มีการออกมาตอบโต้อย่างฉับพลันของนายกฯ และโฆษก ที่ประสานเสียงบอกว่า ผ่านมา 4 ปีผลงานปฏิรูปมีมากมาย และเสริมด้วยคำพูดของโฆษก รัฐบาลที่พูดทำนองว่า การปฏิรูปไม่มีทางสำเร็จเพราะสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอด ที่ผ่านมาก็ทำมาตลอด และตรรกะเช่นนี้จึงทำให้การปฏิรูปประเทศที่ควรเป็นภารกิจหลักของรัฐบาล คสช. ไม่สำเร็จสักทีหรือไม่?
ขณะที่พรรคใหม่ก็ยังไม่มีท่าทีชัดเจนเด็ดขาดว่าจะเดินไปทางไหน ใหม่จริงหรือไม่? เพราะยังตัดภาพที่เชื่อมโยงกับพรรคเดิมๆไม่ขาด ไม่เว้นแต่การใช้สื่อสำนักเดียวกันเสนอข่าวโจมตีฝ่ายตรงข้าม แม้จะใหม่จริงคือใหม่ทางการเมือง แต่เทคนิควิธีการกลับไม่ต่างจากพรรคเก่าเลย จนหลายคนตั้งฉายาว่าเป็นพรรคแม่พรรคลูกกันแล้ว อีกพรรคหนึ่งที่ดูเหมือนจะขึงขังไม่เอาทหารไม่เอารัฐธรรมนูญแต่ไม่รู้พรรคไหนส่งคนเข้าร่วมครม.ไปรับเก้าอี้รัฐมนตรีมานั่ง พรรคอื่นๆ ที่กำลังจะเกิดอย่างพรรคทหารก็ทำการเงียบๆ ประหนึ่งไม่มีใครรู้เลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้หน้าฉากนายกฯ จะปฏิเสธ แต่หลังฉากคีย์แมนหลักก็ยังวิ่งวุ่นหาคนดูดเข้าพรรคตลอดเวลา เรื่องของการปฏิรูปก็ยังคงไม่มีการขยับที่เป็นรูปธรรม รัฐบาลอาจไม่ได้คิดว่า 4 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ผลงานไม่ปรากฏเด่นชัดเช่นนี้แล้วจะให้ประชาชนไว้ใจต่อคงยากหน่อย?หากต้องการให้ประชาชนเชื่อใจ ให้มั่นใจในรัฐบาล คสช. เวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมเร่งรัดการปฏิรูปให้สำเร็จก่อนหมดวาระลง.....
“คนเสเพล ปีศาจสุรา มิเห็นที่ใดไม่ดี นั่นยังประเสริฐกว่าวิญญูชนจอมปลอม สวมหน้ากากออกหลอกลวงมากมายนัก หรือมิใช่?” คำคมโกงเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี