ย้อนดูผลการเลือกตั้งในรัสเซีย การเลือกตั้งฟิลิปปินส์ปีกลาย และในมาเลเซียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ที่พรรคพันธมิตรฝ่ายค้านปากาตัน อาราบัน นำโดย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด คว่ำกลุ่มพันธมิตรบาริซาน นาซิออง หรือพรรคแนวร่วมแห่งชาติมลายู (อัมโน)ของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ลงได้เป็นสัญญาณบอกว่านักการเมืองอำนาจนิยมยังเป็นที่ศรัทธาและพึงปรารถนาของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วไปในเอเชีย
การเลือกตั้งในประเทศรัสเซียเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน นักการเมืองอำนาจนิยมที่คุมบังเหียนรัสเซียแบบเผด็จการรัฐสภามากว่า 18 ปี ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 4 ด้วยชัยชนะอย่างถล่มทลาย หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เมื่อปีกลายที่นายโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเผด็จการในสงคราม ยาเสพติดที่ทำให้มีคนตายหลายพันราย แต่ผลสำรวจความนิยมล่าสุดพบว่า ชาวฟิลิปปินส์ ร้อยละ 78 พอใจผลงานของนายดูเตอร์เต
ดร.มหาเธร์วัย 92 ปี เคยเป็นนายกฯ ผู้ปกครองประเทศแบบประชาธิปไตยอำนาจนิยมรักชาติ ที่สามารถพลิกฟื้นมาเลเซียจากประเทศยากจนเป็นประเทศพัฒนามั่งคั่งก้าวหน้าในระยะเวลา 22 ปี นายราชัน โมเซส หัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ ประจำประเทศไทย ในยุคที่มหาเธร์ เรืองอำนาจ บอกกับผู้เขียนว่า ดร.มหาเธร์ และนักการเมืองมาเลเซียไม่ได้เก่งกล้าสามารถ หรือมีอุดมการณ์รักชาติกว่าคนไทย แต่ที่ประเทศไทยล้าหลังไม่ก้าวหน้า เพราะว่าเมืองไทยมีนักการเมืองหัวก้าวหน้า มีนักวิชาการ มีภาคประชาสังคม มีฝ่ายค้านขัดแข้งปัดขามากเกินไปจนผู้บริหารทำอะไรไม่ได้
“พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีแผนการปฏิรูปประเทศ มียุทธศาสตร์ชาติระยะยาวก่อน ดร.มหาเธร์ แต่ยุทธศาสตร์ของท่านคืบหน้าไปไม่ได้เพราะมีผู้ต่อต้าน มีนักการเมือง นักวิชาการ มีผู้รู้รอบด้านมากเกินไป ขณะที่ในมาเลเซีย เมื่อเห็นว่าโครงการใดเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติแล้วมหาเธร์ สั่งเดินหน้า ผู้ที่คัดค้านขัดขวางต่อต้านถูกขจัดออกไปโดยไม่ไว้หน้า” หัวหน้าสำนักข่าวรอยเตอร์ บอกกับผู้เขียนในวันที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจว่า
“คุณเห็นไหม... วันที่รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท มีข่าวว่านักธุรกิจการเมืองบางคนได้กำไรถึง 5,000 ล้านบาท เพราะเขารู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า..ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย ดร.มหาเธร์ ออกคำสั่งกำหนดค่าเงินริงกิตตายตัว (Fix Rate) ไม่มีใครได้ผลประโยชน์จากความแตกต่างค่าเงิน และไม่มีใครคัดค้านเขาได้...”
ผู้ที่หาญกล้าขัดขวางแนวทางดร.มหาเธร์ ในขณะที่ประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คือ นายอันวาร์ อิบราฮิม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดร.มหาเธร์ มั่นหมายจะให้เป็นทายาททางการเมือง แต่ผลของการท้าทาย นายอันวาร์ ถูกจับยัดคุกในข้อหาร่วมเพศกับคนเพศเดียวกัน กว่า 22 ปี ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ ใช้ “กฎหมายความมั่นคงภายใน” จับนักการเมือง นักวิจารณ์ สื่อมวลชน เอ็นจีโอ นักต่อต้านรัฐบาล ขังคุกโดยไม่ต้องขึ้นศาลกว่า 100 ราย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในมาเลเซีย จึงราบรื่นก้าวหน้าตลอดเวลากว่าสองทศวรรษที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้ที่ชื่นชมความสำเร็จของมาเลเซีย แล้วมีคำถามว่าประเทศไทยทำไมไม่ก้าวหน้า ลองไปอ่านข่าวเก่าๆ ดูจะพบว่าขณะที่ พลเอกเปรม กำลังพัฒนาประเทศไทยให้เป็นเสือเอเชียตัวที่ห้า นักการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง นักวิชาการร่านวิชาทนรอไม่ได้ นอกจากนักการเมืองพยายามแซะเก้าอี้พลเอกเปรมแล้ว ยังมีนักวิชาการร่านวิชาอย่างน้อย 99 ราย ลงชื่อในบัญชีหางว่าวเรียกร้องให้พลเอกเปรม ลาออก วันนี้นักวิชาการเหล่านั้นออกมาเสนอหน้าให้คนไทยดูการเลือกตั้งมาเลเซียเป็นบทเรียน บางรายเสนอให้พลเอกประยุทธ์ใช้แบบอย่างป๋า บริหารประเทศ
คำว่า “การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร” ใช้ได้ทั้งในมาเลเซียและประเทศไทย เพราะนักการเมืองทุกฝ่ายพร้อมแปรพักตร์สลับหน้า แตกต่างกันที่ว่าในมาเลเซีย นักการเมืองแปรพักตร์อย่างมียุทธศาสตร์และอุดมการณ์ ยุทธศาสตร์คือให้ ดร.มหาเธร์ รัฐบุรุษผู้ที่ชาวมาเลเซียศรัทธาเชื่อมั่นนำทัพ “พรรคพันธมิตรฝ่ายค้านปากาตัน” โค่นล้มรัฐบาลด้วย อุดมการณ์ “ไล่คนโกงเพื่อฟื้นฟูหลักนิติรัฐนิติธรรมในชาติ” เป้าหมายของพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านคือคว่ำนายนาจิบ ราซัค ผู้เปรอะเปื้อนด้วยข้อครหายักยอกเงินกองทุนพัฒนามาเลเซีย ที่เรียกว่า 1MDB ไปไว้ในบัญชีส่วนตัวกว่า 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร.มหาเธร์ ใช้เวลากว่าสี่ปีในการระดมพันธมิตรฝ่ายค้านต่อต้านนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีที่มีฐานการเมืองมั่นคงอยู่ในพรรคแนวร่วมแห่งชาติมลายู หรืออัมโน พรรคอัมโนผูกขาดการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมาเลเซียมากว่า 60 ปี ตั้งแต่ได้รับเอกราช พ.ศ.2500 ดร.มหาเธร์ เคยเป็นหนึ่งในแกนนำพรรคอัมโน รู้จุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหนจึงโค่นนายราจิบ ลงได้ นอกจากยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ของพรรคพันธมิตรตรงกันแล้ว วุฒิภาวะและจิตสำนึกของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็เป็นปัจจัยสำคัญ ผลการเลือกตั้งในมาเลเซียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวมาเลเซียมีจิตสำนึกมีวุฒิภาวะ ที่สัมผัสได้ว่าพวกเขาทนการทุจริตครั้งมโหฬารอีกต่อไปไม่ได้
ผู้ลงคะแนนบางคนบอกผู้สื่อข่าวว่า “We vote to drive out evil” “เราลงคะแนนเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย” ประกอบกับมีผู้นำการขับไล่ที่พวกเขาไว้ใจศรัทธา ชาวมาเลเซียจึงลงคะแนนให้พรรคพันธมิตรฝ่ายค้านปากาตัน อาราบัน ชนะ 113 ที่นั่ง ต่อ 79 ที่นั่ง จากจำนวน สส. 222 คน ในสภา ดร.มหาเธร์ กล่าวหลังจากคณะกรรมการเลือกตั้งประกาศผลอย่างเป็นทางการว่า “เราไม่ได้เข้ามาแก้แค้นใคร เรามาเพื่อฟื้นฟูหลักนิติรัฐนิติธรรม” คำว่าฟื้นฟูนิติรัฐหมายถึงจัดการกับนายราจิบ ทันทีเป็นกรรมวิธีฟื้นฟูนิติรัฐ ส่วนนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าคือนิรโทษกรรมปล่อยตัวนายอันวาร์ ออกจากคุกและเตรียมถ่ายโอนอำนาจให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในสองปีข้างหน้า
มองจากปรากฏการณ์การเมืองในมาเลเซีย พบว่าผู้อาวุโสทางการเมืองที่ชักนำคนผิดเข้าสู่วงจรอำนาจ เมื่อเกิดผิดพลาดผู้ชักนำคนผิดเข้ามา แสดงความรับชอบเหมือนกันทั้งในประเทศมาเลเซียและไทย แต่ผลที่ได้อาจแตกต่างกันในประเทศไทย พลตรีจำลอง ศรีเมือง ชักนำนายทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่การเมือง เมื่อพบว่ามีข้อครหาทุจริต พลตรีจำลอง ก็ร่วมมือกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่นายทักษิณ จนทหารต้องเข้าควบคุมอำนาจ เพราะผู้ถูกขับไล่นอกจากไม่ยอมออกไป ยังใช้กองกำลังติดอาวุธทำร้ายคนไทย และนั่นคือคำตอบที่นักวิชาการร่านประชาธิปไตยถามว่าทำไมทหารต้องแทรกแซง
และความแตกต่างในจิตสำนึกประชาธิปไตยของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไทยกับมาเลเซียก็คือในเมืองไทยนายทักษิณ ถึงแม้ถูกยึดอำนาจ ถูกศาลตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ในความผิดทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ระบอบทักษิณยังไม่ตาย พรรคการเมืองที่นายทักษิณเป็นเจ้าของส่งนอมินี ลงสมัครเลือกตั้ง บริวารของเขาชนะทุกครั้งในห้วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา พฤติกรรมอย่างนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยมีวุฒิภาวะด้อยกว่าคนมาเลเซีย
ชาวมาเลเซีย เมื่อนักการเมืองมีข้อครหาคอร์รัปชั่น เขาลงโทษนักการเมืองคนนั้นโดยการลงคะแนนไล่ออกไป ในเมืองไทย นักการเมืองชั่วที่ถูกศาลตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ในความผิดคอร์รัปชั่น และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไปแล้ว แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังรักใคร่ศรัทธา นักการเมืองชั่วส่งนอมินีสมัครแข่งขันเมื่อไหร่ก็แห่กันไปลงคะแนนให้จนได้ชัยชนะ เมื่อจิตสำนึกวุฒิภาวะของคนส่วนใหญ่ต่ำอย่างนี้ ก็ต้องใช้วิธีแยกย่อยนอมินีคนชั่ว ที่เปรียบเหมือนผักตบชวาถ้าปล่อยให้เกาะกันเป็นแพเต็มแม่น้ำลำคลองก็ยากต่อการทำลาย ยุทธศาสตร์การเมืองแบบไทยๆ คือแยกย่อยสวะการเมืองจากกอใหญ่ เพื่อง่ายต่อการควบคุม หรือนำไปแปรรูปเป็นเครื่องใช้หรือสุดท้ายใช้ทำปุ๋ย
ดังนั้นนักการเมือง นักวิจารณ์ นักวิชาการที่ชื่นชมยุทธศาสตร์การเมืองของดร.มหาเธร์ แล้วตำหนิรัฐบาลว่าทำการเมืองน้ำเน่าล้าสมัยใช้วิธี “ดูด” โปรดใช้สติแล้วคิดใหม่ว่ายุทธศาสตร์แบบไทยๆ คือแยกย่อยเพื่อควบคุมให้ง่ายต่อการทำลาย หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี