หัวข้อนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งคณะอนุกรรมการติดตามกลไกการปกป้องคุ้มครองสัตว์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญเป็นประธาน ได้ศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการปัญหาลิงในพื้นที่วิกฤติ เป็นที่เรียบร้อแล้ว มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมช่วยกันศึกษาเรื่องนี้ อาทิ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จากการศึกษา พบว่า ปัญหาพิพาทระหว่างคนกับลิง รวมทั้งความเดือดร้อนรำคาญที่เกิดจากลิงในปัจจุบัน ได้แผ่ขยายไปในหลายพื้นที่มากกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ แต่ในพื้นที่ที่ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติและจำเป็นจะต้องมีการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยทันทีมีอยู่ทั้งสิ้น 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลพบุรี กระบี่ ชลบุรี ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ภูเก็ต มุกดาหาร สตูล สระบุรี อำนาจเจริญ และเขตบางขุนเทียน กทม.
ในรายงานการศึกษา ยังได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวออกเป็น 3 ยุทธศาสตร์ 9 กลยุทธ์ และกิจกรรมหลักในด้านต่างๆ ที่แต่ละจังหวัดจะต้องนำไปเร่งรัดดำเนินการตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประชาชนสุขใจ ลิงปลอดภัย อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”
เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2559 เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาลิงที่จังหวัดลพบุรีเป็นแห่งแรก โดยคณะอนุกรรมการได้ร่วมกับทุกหน่วยจัดทำ “แผนแม่บทการบริหารจัดการปัญหาลิงในจังหวัดลพบุรีอย่างยั่งยืน” ขึ้นและได้ส่งมอบแผนให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีเพื่อนำไปขับเคลื่อนตั้งแต่ 24 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา
พอไปสำรวจจริงๆ ไม่ได้มีแค่ลพบุรีแห่งเดียว แต่ยังเกิดวิกฤติลามไปถึง 12 จังหวัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากลิงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการที่ลิงทำร้ายร่างกายและแย่งชิงทรัพย์สิน หรือบุกเข้าไปยังบ้านเรือน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งของเครื่องใช้ บางส่วนก็ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่เคยอยู่อาศัยหรือทำมาค้าขาย
นอกจากนี้ หลายฝ่ายยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคจากสัตว์สู่มนุษย์โดยเฉพาะจากการสัมผัสและการอยู่ใกล้ชิดกับลิง ในขณะเดียวกันก็มีลิงเป็นจำนวนไม่น้อยที่มักจะได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำร้ายจากผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว ถือเป็นข้อพิพาทระหว่างคนและลิงที่จะต้องเร่งแก้ไขโดยเร่งด่วนทั้งสิ้น
ทาง พล.ต.อ.พงศพัศ ระบุว่า จากการสำรวจ พบว่าขณะนี้มีลิงอยู่ไม่น้อยกว่า 100,000 ตัว โดย “ลิงแสม” เป็นลิงที่สร้างปัญหารบกวนประชาชนมากที่สุด
ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่วิกฤติทั้ง 12 จังหวัดดังกล่าว คณะอนุกรรมการได้นำเสนอยุทธศาสตร์สำคัญขึ้น 3 ยุทธศาสตร์ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการให้ได้ผลโดยเร็ว ได้แก่ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการลิง ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการถิ่นที่อยู่อาศัยของลิง และ ยุทธศาสตร์การบูรณาการแก้ปัญหาลิง โดยในแต่ละยุทธศาสตร์จะประกอบด้วยกลยุทธ์และกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมประชากรลิงด้วยการทำหมัน การฟื้นฟูระบบนิเวศเดิมให้ลิงสามารถอยู่ได้ในถิ่นฐานเดิม การจัดทำฐานข้อมูลในการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพลิง รวมทั้งการนำองค์ความรู้ในการลดปัญหาและข้อพิพาทเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและนำไปปฏิบัติ เช่น การให้อาหารลิงในพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น เป็นต้น
สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ “การสร้างนิคมลิง” เพื่อใช้เป็นสถานที่รองรับลิงบางส่วนที่จำเป็นจะต้องย้ายออกมาจากพื้นที่ ถือเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่จำเป็นจะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
พอเอ่ยถึงการสร้างนิคมลิง ก็มีเสียงคัดค้าน
แต่ทาง พล.ต.อ.พงศพัศ อธิบายว่าไม่ต้องกังวลใจเรื่องเอาลิงไปปล่อยเกาะ เพราะเกาะที่เป็นนิคมลิง จะเป็นสถานที่ให้พวกเขาได้อยู่อย่างมีความสุขจนถึงบั้นปลายชีวิต เรื่องนี้ไม่ถือว่าขัดต่อกฎหมายทารุณกรรมสัตว์ เพราะเราไม่ได้ไปฆ่าหรือทำร้าย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราจะไม่ย้ายออกไป เพราะเป้าหมายสูงสุด คือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ครับ!!! ในการสัมมนา เรื่องดังกล่าวที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 16 พ.ค. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้คนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ละฝ่ายก็เตรียมการแก้ไข จะแล้วเสร็จได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องติดตามกันต่อไป ขอให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมแก้ปัญหานี้ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี