สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ขอนำจดหมายเปิดผนึกที่มีผู้อ่านร่วมลงนาม 2 ท่าน คือ ภญ.วิมลพันธ์ กลกิจกำจร ข้าราชการบำนาญ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ พล.ร.ต.มินท์ กลกิจกำจร ทหารผ่านศึกนอกประจำการ กองทัพเรือ ส่งมาเมื่อ 13 พ.ค. 2561 ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ มาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้อ่านกัน ดังนี้..
!!!..1.พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 5 ธ.ค. 2470 และเสด็จสวรรคตเมื่อ 13 ต.ค. 2559 2.เนื่องในวันที่ 13 พ.ค. 2561 นับเป็นเวลาครบ 19 เดือนแห่งวันเสด็จสู่สวรรคาลัยขององค์พ่อหลวงภูมิพลอดุลยเดช ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ จึงขออัญเชิญ “พระบรมราโชวาทด้านกฎหมาย” ของพระองค์ มาดังนี้
2.1 “..สมัยโบราณจะให้ทราบเรื่องอันใดเขาต้องมาตีกลอง มาสมัยผู้ใหญ่ลีก็ยังตีกลอง แต่ว่านี่ไม่มีผู้ใหญ่ลีจะตีกลอง ประกาศด้วยปากหน่อยเดียว ก็เหมือนยังไม่มีกฎหมาย โดยประการนี้ การปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่กฎหมาย เพราะต่างคนต่างมีผิดถูกด้วยกัน ทางกฎหมายก็ว่ามีกฎหมายแล้ว ก็มีอำนาจเจ้าหน้าที่ ทางประชาชนก็ว่าการเข้ามาทำกินเป็นกฎหมาย ทีนี้เมื่อขัดแย้งกันก็เกิดความเดือดร้อนทั้งสองฝ่าย
จึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้กฎหมายที่จะต้องไปทำความเข้าใจ คือไม่ใช่ไปกดขี่ให้ใช้กฎหมายโดยเข้มงวด แต่ให้ไปทำให้ต่างคนต่างเข้าใจ เราอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน ต้องอยู่กันด้วยความอะลุ้มอล่วย ไม่ใช่กดขี่ซึ่งกันและกัน..”(พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวัน“นิติศาสตร์จุฬาฯ” ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อ13 มี.ค. 2512 โดยพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอุกฤษ มงคลนาวิน อาจารย์ที่ปรึกษาแผนกวิชานิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมคณะกรรมการฯรวม 40 คน เข้าเฝ้าฯ)
2.2 “..กฎหมายทั้งปวงนั้น เราบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นปัจจัยสำหรับแสวงหาความยุติธรรม กล่าวโดยสรุปคือให้เป็นแบบแผนแห่งความประพฤติปฏิบัติของมหาชนสถานหนึ่ง กับใช้เป็นแม่บทในการพิจารณาตัดสินความประพฤตินั้น ให้เป็นไปโดยความถูกต้องเที่ยงตรงอีกสถานหนึ่ง โดยที่กฎหมายเป็นแค่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งไปกว่าความยุติธรรม หากควรจะถือว่า ความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย
การพิจารณาอรรถคดีใดๆ โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายเท่านั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ จะต้องคำนึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้..” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาของสำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อ 7 ส.ค. 2515)...!!!
จากจดหมายข้างต้น ทำให้นึกถึง 2 เรื่อง ที่ถูกพูดถึงกันมากเมื่อไม่นานนี้ หนึ่ง..คือกรณี “ชุมชนป้อมมหากาฬ” ชุมชนเก่าแก่อายุนับร้อยปีที่วันนี้เหลือเพียงตำนานเล่าขาน หลังกรุงเทพมหานคร (กทม.)เดินหน้ารื้อสิ่งปลูกสร้างอย่างต่อเนื่อง จนชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายตัดสินใจย้ายออกไปเมื่อปลายเดือนเม.ย. 2561ที่ผ่านมา กับ สอง..คือกรณี “บ้านพักข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5” บริเวณดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งยุติปัญหากับชาวบ้านที่คัดค้านโครงการ ด้วยการให้ไปหาสถานที่ก่อสร้างใหม่ เมื่อต้นเดือนพ.ค. 2561
ทั้ง 2 เรื่องมี “ความเหมือน” คือในมุมหนึ่ง “ภาครัฐยืนยันว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย” กรณีป้อมมหากาฬนั้น กทม. อ้างถึง พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2535 ที่กำหนดให้ กทม. ต้องนำพื้นที่ไปทำสวนสาธารณะเท่านั้น ไม่อาจเลือกทางอื่นได้ หาไม่แล้ว กทม. อาจถูกฟ้อง “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นข้อหาหนักมากสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ
เช่นเดียวกับกรณีบ้านพักศาลที่ จ.เชียงใหม่ ในปี 2547 กองทัพบก (ทบ.) อนุญาตให้ทางศาลใช้พื้นที่ 143 ไร่ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ โดยได้รับอนุญาตจาก กรมธนารักษ์ อีกหน่วยงานหนึ่ง และ “ไม่ใช่ป่าสงวน” เพราะเอกสารสิทธิ นสล.เลขที่ 394/2500 ที่กรมที่ดินออกให้กระทรวงกลาโหม มีมาก่อน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ที่เป็นกฎหมายป่าสงวนฉบับแรกของไทย แต่กว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ก็ต้องรอถึงปี 2556 อันเป็นปีที่ศาลได้รับงบประมาณ
แต่อีกมุมหนึ่ง “มีเสียงสะท้อนถามถึงความสมเหตุสมผล” กรณีป้อมมหากาฬเคยมีภาคประชาสังคมร่วมกับนักวิชาการศึกษาจนได้บทสรุปคือ “ไม่จำเป็นต้องย้ายคนออก” แต่ให้บริหารจัดการในรูป “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ฟื้นฟูขนบประเพณีดั้งเดิม ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งในปี 2548 อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.(ขณะนั้น) เห็นชอบในหลักการ แต่เสียดายที่เมื่อเปลี่ยนผู้ว่าฯ ก็ไม่ได้ถูกสานต่อ เช่นเดียวกับกรณีบ้านพักศาลที่มีนักวิชาการบอกว่า “อยู่ไม่ได้ อันตราย เสี่ยงดินถล่ม” ทว่ากรณีหลังโชคดีตรงที่นายกฯ ให้ความสนใจ
เรื่องนี้ต้องบอกว่า “น่าเห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย” เพราะแม้ฝ่ายประชาชนบวกนักวิชาการจะคัดค้านด้วยฐานความรู้ใหม่ๆ มีงานศึกษาวิจัยรองรับ แต่ตราบใดที่กฎหมายไม่ถูกแก้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงถูกฟ้องร้อง ทำให้นึกถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560 “มาตรา 77” ที่มีสาระสำคัญว่า การออกกฎหมายใหม่ก็ดี หรือกฎหมายที่มีอยู่แล้วก็ตาม ต้องมีการประเมินผลโดยผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน และนำผลการรับฟังนั้นไปประกอบการออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขกฎหมายเดิม
ทว่าแม้จะมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่ “ยังไม่มีกฎหมายลูก (พระราชบัญญัติ) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น” ซึ่งเมื่อครั้งยังใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 เคยมีกรณีขององค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (มาตรา 61) และองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม (มาตรา 67) แต่สุดท้ายจนรธน.2550 สิ้นสภาพเมื่อปี 2557 องค์กรอิสระด้านผู้บริโภคก็ไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนด้านสิ่งแวดล้อมแม้เกิดมาในชื่อ องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) แต่ก็ไปขึ้นกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ยุบไปเมื่อ 10 ต.ค. 2560
เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย จึงขอวิงวอนไปยังผู้มีอำนาจ ช่วยเร่งออกกฎหมายที่สร้างกลไกให้ประชาชนสามารถขอเสนอและขอแก้ไขกฎหมาย ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อที่กฎหมายต่างๆ จะได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมและทันกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง อันจะนำไปสู่ “ความเป็นธรรม” อย่างแท้จริง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี