เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2561 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วให้เกียรติลดตัวมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีได้ในกาลต่อมา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวล ระบุว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการฟังน้ำเสียง ก็รู้ว่า นายทักษิณอยากกลับบ้าน แม้ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ใจถึงใจ
จึงแนะนำว่า หากอยากกลับไทยก็ให้ทำเพื่อประชาชน แต่จะได้กลับหรือไม่ ส่วนตัวไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ แต่ยืนยันว่า อดีตนายกฯ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และแผ่นดินไทยไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม พล.อ.ชวลิต ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า ได้พูดคุยกับนายทักษิณบ่อยแค่ไหน และใครเป็นฝ่ายโทรหาก่อน
“ฟังเสียง ก็รู้ว่า อยากกลับบ้าน ใครๆ ก็อยากกลับบ้าน คิดถึงแผ่นดิน ส่วนที่กลับไทย ไม่ได้นั้น ไม่รู้ใคร ไม่อยากให้กลับ แต่ยืนยันว่าเขา (ทักษิณ) ทำเพื่อประชาชน” พล.อ.ชวลิตกล่าว
คำให้สัมภาษณ์นี้ สะท้อน “ความใช้ไม่ได้” ของ พล.อ.ชวลิต เข้าทำนอง “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” หาได้เป็นหลักเป็นฐานให้แก่สังคมไม่
หากพล.อ.ชวลิต เป็นคนมีหลักการและกล้าหาญกว่านี้ ให้สมแก่ความเป็นชายชาตรีชาติทหารมาก่อนเสียหน่อย จะต้องกล้าที่จะกล่าวว่า
1) ได้คุยกับนายทักษิณ ในฐานะพี่กันน้องกัน มันห้ามกันไม่ได้หรอกลูกเอ๊ย! ความสัมพันธ์ของคนเรามันมี จะร้ายจะดี มันก็พี่กันน้องกัน ต้องคุยกันเป็นธรรมดา
2) แต่ก็บอกเขาไปว่า ถ้าอยากกลับบ้านแล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ ประเทศไทยไม่ได้ห้ามคุณกลับนี่นา คุณหนีออกไปเอง ก่อนศาลพิพากษาจำคุกคุณ แล้วนี่มีกฎหมายใหม่บังคับใช้แล้ว คดีคาศาลก่อนหน้านี้ ที่คุณหาประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ว่าคดีใดก็ตาม หากไม่มีจำเลยมาปรากฏตัวต่อศาล ศาลก็จะจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว แต่ตอนนี้สามารถพิจารณาคดีลับหลังได้ โดยให้สิทธิคุณแต่งตั้งทนายเข้าแก้ต่างและต่อสู้ กลับมาบ้านเถอะ กลับมารับโทษ กลับมาต่อสู้ให้มันสง่างามดีไหม ยิ่งถ้าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ จะหลบหนีให้คนเขาครหาอยู่ทำไม พวกหนึ่งก็ครหาว่าขี้ขลาด โกง ไม่รับผิดชอบ อีกพวกหนึ่งก็ออกมาปกป้อง ว่าถูกกลั่นแกล้ง รังแก ผู้คนในชาติต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะน้องอย่างนี้ มีความสุขหรือไม่ สบายใจดีหรือเปล่า
3) ยิ่งถ้ากล้าพูดว่า นายทักษิณ “จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และแผ่นดินไทยไม่เปลี่ยนแปลง” ก็ยิ่งต้องให้เขาแสดง ว่าเขาพร้อมจะเข้าต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลย่อมพิจารณาคดีภายใต้พระปรมาภิไธยอยู่แล้ว จงรักภักดีแล้วหนีไปทำไม แล้วที่หนีออกไป เกี่ยวอะไรกับความจงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดีด้วยล่ะ เพราะไอ้ที่หนีออกไป เป็นคดี “ทุจริต” ทั้งนั้น ใช้อำนาจของเสียงส่วนใหญ่ อำนาจคณะรัฐมนตรี และอำนาจนายกฯ ไปหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง หรือไม่ก็ใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบทั้งนั้นนี่ บิ๊กจิ๋วพูดเรื่อง “ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาครั้งนี้ จะสื่อสารอะไรหรือครับ?
4) และที่กล่าวว่า ทักษิณทำเพื่อประชาชนนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความผิดถูกที่เขาจะต้องถูกตรวจสอบและต่อสู้นี่ครับ คือ หลักคิดของบิ๊กจิ๋วนี่เป็นยังไงเหรอ ถ้าใครทำเพื่อประชาชน ก็ไม่ต้องไปตรวจสอบการกระทำอื่นๆ ของมันอีกแล้วใช่ไหม หรือจะสื่อสารว่า ทำเพื่อประชาชนแล้วมีคนอิจฉาริษยา เลยกลั่นแกล้งเขาหรืออย่างไร พูดมาเสียให้ชัดเจนเถอะ แก่ๆ กันแล้ว
และในวันเดียวกันนั้น (18 พ.ค.2561) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของมาเลเซีย ได้บุกเข้าตรวจค้นที่พักและสำนักงานหลายแห่งของ นายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนยึดกระเป๋าแบรนด์เนมหลายสิบใบ ซึ่งภายในอัดแน่นไปด้วยเงินสดและเครื่องเพชรจำนวนมาก
โดย อัมมาร์ สิงห์ หัวหน้าหน่วยสอบสวนอาชญากรรมทางธุรกิจของมาเลเซีย เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุมูลค่าของสิ่งของที่ยึดมาได้ เนื่องจากมีจำนวนเยอะมาก อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ในกระเป๋าเหล่านี้ บรรจุเงินสดสกุลต่างๆ ทั้งเงินริงกิต ของมาเลเซีย เงินดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาข้อมือ และเครื่องประดับเพชรพลอย อยู่ในกระเป๋า 72 ใบ
กระเป๋าแบรนด์เนมถูกที่ยึด มีทั้งยี่ห้อแอร์เมส เบอร์กิน และหลุยส์ วิตตอง โดยคาดว่า ทรัพย์สินเหล่านี้ ถูกพบอยู่ภายในคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ภายหลังจาก
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มออกปฏิบัติการตรวจค้นบ้านพักของ นายนาจิบ และสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่คืนวันพุธที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายนาจิบ เพิ่งถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ หลังจากที่เขานำพรรคร่วมรัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยินต่อ นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ท่ามกลางกระแสข้อกล่าวหาที่ว่า
เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินจากกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย หรือกองทุนวัน เอ็มดีบี ที่เขาเป็นผู้จัดตั้งขึ้น
ขณะที่ นางรอสมะห์ มันซูร์ ภริยาของ นายนาจิบ เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางมานานว่า มีนิสัยฟุ้งเฟ้อ ชอบสะสมกระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า และเครื่องเพชรเอาไว้มากมาย และยังนั่งเครื่องบินไปช็อปปิ้งต่างประเทศเป็นว่าเล่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของ นายนาจิบ เสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสร้างความรู้สึกไม่เท่าเทียมให้กับประชาชนที่ยังคงต้องปากกัดตีนถีบ
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัด และ นายอันวาร์ อิบราฮิม แกนนำฝ่ายค้านที่เพิ่งได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ต่างยืนยันตรงกันว่า
นายนาจิบ จะถูกตั้งข้อหาในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน
ข่าวนี้ทำให้เราคิดถึงอะไร คิดถึงมาตรการของการจัดการกับคนโกงอย่างเด็ดขาด ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย!
หันมาดูบ้านเราสิ!! นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกดำเนินคดีฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการ “รับจำนำข้าว” ความฉิบหายเกิดแก่ประเทศมากมาย พี่ชายของนางมีคน “เปิดทาง” ขอต่อศาลว่าต้องไปดูกีฬาโอลิมปิกที่เมืองจีน ออกนอกประเทศไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ทรัพย์สินยักย้ายถ่ายเทไปอีท่าไหน แค่ไหน อย่างไรก็ไม่รู้ ส่วนนางน้องสาว อยู่ๆ ก็ “หนีออกช่องทางธรรมชาติ” เสียดื้อๆ ง่ายๆ ไม่มีใครจับได้ ไม่มีหลักฐาน กบดานอยู่เมืองนอกเสียนาน แล้วเผยตัวออกงานร่วมกับพี่ชายถี่มากในช่วงใกล้การเลือกตั้งนี้ แถมมีตำรวจพาไปส่งถึงชายแดน แล้วตำรวจคนนั้นก็หนีออกไปได้อีกคน ในยุค คสช. ดูแลประเทศ เออ...ผู้หญิงนางหนึ่งกับตำรวจคนหนึ่ง มันเก่งกว่า “ฝ่ายความมั่นคง” ของเราหลายขุม!!
แล้วทรัพย์สินของนางล่ะ ยักย้ายถ่ายเทออกไปกี่กระเป๋า “คำสั่งทางปกครอง” ที่เรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ท่าทีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ทำราวกับว่าเป็นจดหมายรักถึงคนรักเก่า ดูเบา ไม่เข้มแข็ง เสียจนประชาชนเขาตั้งคำถาม ว่าบัดนี้กระบวนการยึดทรัพย์นางสาวยิ่งลักษณ์กับพวก ไปถึงไหนแล้ว หรือเก็บไว้แค่ผ้าเช็ดหน้าหล่นๆ
อย่าบอกนะ ว่าติดกระบวนการของกฎหมาย ใช่ ก่อนหน้านี้นางสาวยิ่งลักษณ์ร้องขอความคุ้มครองต่อศาลปกครอง อย่าให้กระบวนการยึดทรัพย์ของเธอทำได้ แต่ศาลก็ยกคำร้องไปแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา ถามว่ารัฐบาล “ลุงตู่” เดินหน้ายึดทรัพย์ น้องปู” ไปแล้วบ้างไหม ช่วยชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนเห็น “ความเอาจริงเอาจัง” ที่จะทวงความถูกต้องและความเสียหายกลับมาเยียวยาชาติบ้านเมืองบ้างเป็นไร
เอาข่าวนี้มาเตือนใจ “ลุงตู่” จะได้ย้อนกลับไปดูมาเลเซียเป็นตัวอย่างของการจัดการกับ “คนโกง” หรือคนที่ทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองบ้าง
เมื่อวันที่ 29 ม.ค.2561 ที่ศาลปกครองกลาง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา (ครั้งที่ 2) ในคดีหมายเลขดำที่ 1996/2559 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี, รมว.คลัง, รมช.คลัง, ปลัดกระทรวงคลัง รวม 4 คน
คดีนี้ ฝ่ายนางสาวยิ่งลักษณ์ฟ้องว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการ กรณีมีการกล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีในฐานะนายกฯ และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และทำให้ทางราชการเสียหาย “เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พร้อมด้วยรมว.คลัง รมช.คลัง และปลัดกระทรวงการคลัง มีคำสั่งทางปกครองที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุขณะดำรงตำแหน่งในฐานะนายกฯ และประธาน กขช. ปล่อยให้เกิดทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่เป็นเหตุให้กระทรวงการคลัง เกิดความเสียหายมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยื่นคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาอีกครั้ง โดยขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทในระหว่างพิจารณาคดีได้นั้น ต้องมีเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 3 ประการ เกิดขึ้นครบถ้วน กล่าวคือ 1.คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2.การให้คำสั่งพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง 3.การทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ
เมื่อพิจารณาจากคำขอของผู้ฟ้องคดี ซึ่งยื่นคำขอเป็นครั้งที่ 2 และข้อเท็จจริงจากการชี้แจงของคู่กรณี รวมถึงกรมบังคับคดีแล้ว เห็นว่าแม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างเหตุของความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้เงินหลายประการ และผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีบ้างไปแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อการจะวินิจฉัยว่า คำสั่งพิพาทจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นประเด็นในเนื้อหาของคดี ที่ศาลจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป
ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำสั่งพิพาทน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นว่า เงื่อนไขที่ขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทเกิดขึ้นไม่ครบถ้วน ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ไว้เป็นการชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดี
ศาลจึงมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของผู้ฟ้องคดี!!
ก่อนหน้านี้วันที่ 10 เม.ย. 2560 ศาลปกครองเคยยกคำร้อง ขอทุเลาการบังคับคดีไปเเล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนั้น เห็นว่าหลังจากผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน เเต่นอกจากหนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดียังไม่มีการใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีและขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด จึงเห็นว่าเงื่อนไขตามข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีในคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งพิพาทยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ กรณีจึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่ง ศาลจึงมีคำสั่งยกคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีในครั้งเเรก
ดูข่าวการให้สัมภาษณ์ของบิ๊กจิ๋ว ดูข่าวมาเลเซียยึดทรัพย์ไว้ก่อน แล้วย้อนมาดูบ้านแล้วก็เศร้าใจ
ท่าทางคงจะต้องอยู่กันอย่างนี้แหละ
“บิ๊กจิ๋ว ลุงตู่ น้องปู อ้ายแม้ว” คงต้องอยู่กันแบบ “แบ๊วๆ” ไปวันๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี