เดือนพ.ค. กลายเป็นเดือนแห่งสัญลักษณ์ทางการเมือง
ข่าวว่า ปีนี้ ก็จะมีกลุ่มคนที่อ้างว่าอยากเลือกตั้งเดินขบวนไปทำเนียบรัฐบาล
ทั้งๆ ที่ การเลือกตั้งก็อยู่ในโรดแมป รอกฎหมายเสร็จ ทุกฝ่ายดำเนินการตามกระบวนการของพรรคการเมืองพร้อมสรรพ คือ ราวๆ ต้นปี 2562
พูดง่ายๆ ว่า ถ้านอนอยู่บ้านเฉยๆ การเลือกตั้งก็เป็นไปตามโรดแมป
แต่นี่อ้างว่าจะรีบในปีนี้เลย
จะเป็นจะตายอะไรกันขนาดนั้น
ว่าไปแล้ว... อาการเร่งในขณะนี้ เพราะคดีโกงของใครต่อใครกำลังจะถึงจุดจบ ใครกำลังจะติดคุกติดตะราง หมดสิทธิ์ซ่า หรือใครกำลังจะถูกยึดทรัพย์ เลยต้องผสมโรงโหมกระพือ เร่งไฟ เร่งสถานการณ์ โดยจริงๆ ไม่ได้หวังเลือกตั้ง แต่หวังล้มโต๊ะล้มกระดาน หรือไม่?
จำได้ไหม.. ในวันที่ คสช.ยึดอำนาจ 2557 ไม่มีเหตุรุนแรง ไม่มีใครได้เผาบ้านเผาเมือง
แต่ในวันที่ นปช.ยึดอำนาจ ล้มรัฐบาล ปชป.ไม่สำเร็จ 2553 วันนั้นมีหมาที่ไหนปลุกระดมบงการให้คนเผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัดเผาห้างสรรพสินค้า
วันนี้ ขอทบทวนความจำเกี่ยวกับการเผาบ้านเผาเมือง เผาห้างสรรพสินค้าทำให้ประชาชนคนไทยเสียหาย ฝากความเจ็บปวดไว้จนถึงวันนี้ โดยเอาความจริงจากคำพิพากษาที่คดีถึงที่สุดแล้ว มาแบให้ดูกัน
1. คำพิพากษาศาลแพ่ง คดีถึงที่สุดแล้ว
ชี้ชัดว่า เหตุการณ์เผาห้างสรรพสินค้าใหญ่ ในกทม. เมื่อปี 2553 นั้นเป็นการก่อการร้าย!
2. กรณีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทในเครือได้ทำประกันภัยการก่อการร้าย (Terrorism) วงเงิน 3,500 ล้านบาทและบริษัทประกันยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยการก่อการเรียบร้อยแล้ว
3. กรณีเผาห้างเซ็นเตอร์วัน ตรงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ค้าขายรายเล็กรายน้อย เจ้าของห้างรวมถึงร้านหนังสือดอกหญ้า
นางสาวนิดา ตันติพินิจวงศ์ เจ้าของร้านหนังสือดอกหญ้า เคยแถลงว่าร้านดอกหญ้าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ต้องปิดสาขาที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เกิดหนี้สินจำนวนมาก และต้องเลิกจ้างพนักงาน บริษัทประกันไม่จ่าย เพราะอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย
นายรัชพล ไกรจิรโชติ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน เคยแถลงว่า บริษัทได้รับความเสียหายมาก อาคารและทรัพย์สินถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด ต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซมเกือบ 200 ล้านบาท และต้องปิดกิจการไปถึง 1 ปี โดยที่บริษัทเป็นเอกชนซึ่งไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆแต่กลับเป็นผู้ได้รับความเสียหาย บริษัทประกันภัยก็ไม่จ่าย อ้างว่าเป็นการจลาจลหรือก่อการร้าย
4. คดีแพ่งที่เอกชนฟ้องบริษัทประกันให้ชดใช้ จากกรณีเหตุการณ์เผาห้างเซ็นเตอร์วันและอาคารสิ่งก่อสร้างบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อปี 2553 คดีถึงที่สุดแล้ว
โดยศาลฎีกาไม่รับฎีกา ทำให้คดียุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีนี้ ฝ่ายบริษัทประกันภัยยกขึ้นต่อสู้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน มีสาเหตุมาจากกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อมามีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการตั้ง ศอฉ.ขอคืนพื้นที่ กระทั่งเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารและผู้ชุมนุม มีการใช้กองกำลังติดอาวุธที่เรียกว่าชายชุดดำกลุ่ม นปช.ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ แกนนำประกาศว่า หากทหารใช้กำลังสลายการชุมนุมให้ผู้ชุมนุมวางเพลิงเผาอาคารสถานที่สำคัญ ปรากฏว่า เมื่อวันที่19 พ.ค. 2553 รัฐบาลกระชับพื้นที่ราชประสงค์ แกนนำ นปช.ประกาศยุติการชุมนุม ก่อนเกิดการเผาสถานที่สำคัญใน กทม.ประมาณ 34 แห่ง รวมทั้งมีการเผาศูนย์การค้าของโจทก์ด้วย
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค เห็นว่า เหตุการณ์เผาศูนย์การค้าของโจทก์เป็นกรณีสืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง ถือเป็นการก่อความไม่สงบของประชาชนถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาล มีความวุ่นวาย โกลาหลอลหม่าน เห็นได้ว่า สาเหตุหนึ่งมาจากการปราศรัยปลุกระดมของแกนนำกลุ่ม นปช.
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่า การวางเพลิงเผาอาคารศูนย์การค้าของโจทก์จะเกิดจากกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง พวกขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง คนขับรถซาเล้งซื้อของเก่าที่อาศัยโอกาสความวุ่นวายทางการเมืองเจตนาหวังเข้าไปลักทรัพย์ และเผาอาคาร น่าเชื่อว่า การวางเพลิงมีความประสงค์ก่อให้เกิดความเสียหายทางบ้านเมือง หลังเกิดเหตุมีรถดับเพลิงเข้าไป แต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวาง นอกจากนี้ ยังพบลูกธนูพันด้วยผ้าสัญลักษณ์กลุ่ม นปช. และร่องรอยกระสุนปืน สรุปว่าพยานหลักฐานเกี่ยวกับการวางเพลิงเผาศูนย์การค้าของโจทก์ เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุม นปช.บางส่วนที่ต้องการใช้ความรุนแรง หรือข่มขู่บุคคลเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการส่งผลให้รัฐบาล หรือสาธารณชนตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก หวาดกลัว ถือเป็นการกระทำก่อการร้ายตามนิยามความหมายของกรมธรรม์ประกันภัย
ฝ่ายจำเลยรับทำประกันกับโจทก์ในลักษณะความเสี่ยงภัยทุกชนิดยกเว้น ความคุ้มครองเกี่ยวกับภัยความรุนแรงทางการเมือง กล่าวคือ ภัยสงครามและก่อการร้าย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษากลับ ยกฟ้อง
เท่ากับยืนยันว่า การเผาห้างเซ็นเตอร์วันนั้น เป็นการกระทำก่อการร้ายของผู้ชุมนุมแนวร่วม นปช.
5. จะเห็นได้ว่า กรณีดังกล่าว คือ บทเรียน ความสูญเสียของสุจริตชนและประเทศชาติส่วนรวม
ส่วนนักการเมือง แกนนำม็อบ ที่ปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมา
บางราย ประกาศว่า เอาขวดแก้วมาคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้ากรุงเทพฯจะลุกเป็นทะเลเพลิงแน่นอน
บางราย ประกาศว่า เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง
สุดท้าย คนพวกนี้ ก็ไม่รับผิดชอบอะไรเลย
เอาแต่รับตำแหน่ง หลังพรรคพวกตนได้ครองอำนาจ แล้วก็ร่วมแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบต่อไป
บางคน เอาคนในครอบครัวมารับผลประโยชน์ ถึงขนาดร่ำรวยผิดปกติ
ล่าสุด ทราบว่า ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมียของอดีตแกนนำม็อบบางคน ที่เข้าไปเสวยสุขหลังช่วงชิงอำนาจรัฐไปได้หลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ระบุมูลร่ำรวยผิดปกติ ถูกยึดทรัพย์กว่า 42 ล้านบาทเศษ
ในขณะที่จนถึงบัดนี้ ประชาชนพ่อค้าแม่ขายที่ได้รับความเสียหายจากการเผาบ้านเผาเมือง 2553 ยังคงเจ็บปวด ล้มลุกคลุกคลาน จากการกระทำต่ำช้าของคนพวกนี้
สักวัน หวังว่ากรรมคงจะตามทัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี