ถือเป็นมหรสพทางการเมืองก็แล้วกัน สำหรับการชุมนุมของกลุ่ม “อยากเลือกตั้ง” ที่ยัง “จุดไม่ติด” แถมถูกมองว่าเป็นแค่ปาหี่ รับจ้าง อยากดัง ฯลฯ
มาลองวิเคราะห์กัน ว่าทำไมม็อบนี้จุดไม่ติด
1) ไม่มี “สาระสำคัญ” ของเรื่องที่เรียกร้อง
การชูเอาประเด็น “อยากเลือกตั้ง” เป็นชื่อกลุ่มและเป็นข้อเรียกร้อง ถือว่า “จบเห่” ตั้งแต่แรก เพราะมันยังไม่ใช่เรื่องที่ “กระทบ” กับคนส่วนใหญ่ ที่รู้สึกว่า “เป็นปัญหา” จนทิ้งบ้านทิ้งเรือนออกมาร่วมกัน เอ็งอยากเลือกตั้งแล้วยังไง การเลือกตั้งมันเกิดจากความอยากของใครได้ที่ไหนเล่า มันต้องอาศัยองค์ประกอบตามกฎหมาย หรือพลังร่วมกันของสังคม ซึ่งมันยังไม่มี
ใช่ คนจำนวนมากอาจเริ่มเบื่อหน่ายรัฐบาลนี้แล้ว
ใช่ คนจำนวนมากรู้สึกว่า “พอแล้ว” 4 ปีแล้ว เป็นรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้งยังต้องไปเลย นี่เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลอะไร 4 ปี ก็มากพอที่จะต้องไปได้แล้ว
แต่สาระสำคัญที่คุณมาแสดงอาการ “อยากเลือกตั้ง” มันคืออะไรล่ะ มันต้องสำแดงให้ได้ว่า หากยังไม่มีการเลือกตั้ง บ้านเมืองจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงอย่างไร จะกระทบกับใครบ้าง จนเป็นเหตุให้คนรู้สึกและตระหนัก จนออกมาร่วมกันแบบมืดฟ้ามัวดิน ซึ่งขณะนี้ยังสำแดงไม่ได้
2) “การเลือกตั้ง” จะเกิดได้อย่างไร
ไม่ได้เกิดจากความอยากอย่างเดียวแน่ โดยเฉพาะความอยากของคนเฉพาะกลุ่มที่มีปูมหลังทางการเมืองที่สังคมยังเคลือบแคลง ว่า “ของจริง” หรือแค่ “มือปืนรับจ้าง”
การเลือกตั้งเป็นพันธะตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะต้องมี ต้องเกิด แต่ต้องผ่านองค์ประกอบขั้นแรกให้ได้เสียก่อน นั่นคือ ผ่านกฎหมาย 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง นั่นคือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต., ว่าด้วยพรรคการเมือง, ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.
2 ฉบับแรกผ่านแล้ว อีกสองฉบับที่เหลือติดอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง 22 พ.ค.2561 นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.) ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ว่า ทั้ง 2 ฉบับมีปัญหาอย่างเดียวกัน ก็คือ มีบทบัญญัติที่เป็นปัญหา ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งทางที่เป็นไปได้ก็คือ ไม่ขัด หรืออีกทางหนึ่งก็คือขัด ถ้าขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็ต้องดูว่า จะกระทบกับสาระสำคัญที่จะทำให้ร่างนั้นตกไปทั้งฉบับหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ บทบัญญัติเฉพาะมาตรานั้นก็ตกไป นำมาใช้บังคับไม่ได้ แต่ตัวร่าง พ.ร.ป. นั้น สามารถนำมาบังคับใช้ได้ แต่ถ้าศาลฯ วินิจฉัยว่า ขัดหรือแย้งทั้งฉบับ ร่างพ.ร.ป. ก็จะตกไป ทาง กรธ. ก็ต้องกลับมาทำใหม่ ซึ่งคิดว่า ถ้าเรื่องมาถึง กรธ. ก็น่าจะแก้เฉพาะส่วนที่ขัดหรือแย้ง แล้วส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อให้พิจารณา หากแก้เพียง 1 - 2 มาตรา ก็สามารถพิจารณา 3 วาระรวดเลยก็ได้ ดังนั้น จึงไม่น่ากระทบต่อโรดแมปในการเลือกตั้ง เพราะน่าจะใช้เวลารวมทั้งขั้นตอนของ สนช. แล้ว 2-3 สัปดาห์ก็น่าจะจบ เพราะไม่น่าจะไปรื้อหรือทำอะไรใหม่ๆ เนื่องจากไม่มีเวลาแล้ว
“ร่างกฎหมาย สส. ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า การให้คนพิการลงคะแนน และตัดสิทธิ์คนที่ไม่ไปใช้สิทธิ์ ซึ่งถ้าตัวนั้นใช้ไม่ได้ ก็จะหายไป 2 มาตรา แต่ถ้าเป็นร่าง สว. ก็จะมีปัญหาหน่อย เพราะว่า มันกระทบทั้งบทเฉพาะกาลและเนื้อหาข้างใน ตรงนั้น อาจจะมีปัญหาได้ว่า ถ้าขัดเฉพาะตรงนั้นแล้วจะทำอย่างไร เพราะว่า บทเฉพาะกาลมันจะหายไป เพราะช่วงแรก สว. ที่มาจากการเลือก ไม่ใช่ 200 แต่เป็น 50 เพราะฉะนั้น ในเวลาเขียนบทเฉพาะกาล ก็เขียนเผื่อเอาไว้เฉพาะ 50 แล้วมาตราที่ระบุที่ว่า ให้มาจาก 2 ทางนั้น พอตกไปแล้ว ตัวที่เขียนรองรับ 50 คน ก็จะตกไปด้วย ตรงนั้นก็จะเป็นปัญหา ทั้งนี้ ก็แล้วแต่ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร” นายมีชัย กล่าว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ชุมนุมเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.นี้ว่า ก็เรียกร้องไป เรียกร้องได้ ซึ่งท่านอ้างว่า เป็นการเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายมีอยู่ กฎหมายการชุมนุมว่าอย่างไร ก็ไปว่ากันมาให้ครบ
“ผมบอกแล้วว่า เป็นไปตามขั้นตอน ของผมคือต้นปี’62 ไม่มีเร็วกว่านั้น ผมก็ต้องยืนยันในหลักการของผม ที่มันล่าช้าไป 3-4 เดือน เป็นเรื่องความพร้อมของกฎหมาย” ซึ่งก็หมายถึงกฎหมาย 2 ฉบับ ยังติดอยู่ในกระบวนการของศาลนั่นเอง
ฟังจาก 2 ท่านนี้แล้ว นายกฯ ยังยืนยันเลือกตั้งต้นปีหน้าตามโรดแมป นายมีชัยยืนยันว่า ถ้าต้องแก้กฎหมายตามที่ศาลอาจพิจารณาว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ก็แก้ได้ แก้ทัน ไม่มีผลให้ล่าช้า แล้วจะมา “อยากเลือกตั้ง” อะไรกัน ในองค์ประกอบที่ยังเลือกตั้งไม่ได้ตามกฎหมายที่มีอยู่
3) บารมีและปูมหลังของแกนนำ
เนื่องจากแกนนำทั้งหมด ไม่มีบารมีทางการเมืองมาก่อน หากจะมีส่วนร่วมทางการเมืองมาบ้าง ก็มาแบบที่สังคมส่วนหนึ่งรำคาญ ส่วนหนึ่งเคลือบแคลง ว่าอาจมีการเมืองซ่อนอยู่ข้างหลัง กับอีกส่วนหนึ่งรอดูพัฒนาการของพวกเขา แต่ไม่ได้คิดจะเข้าร่วมหรือเดินตามไปด้วย นำมาสู่ความล้มเหลวในการระดมคน แถมแกนนำบางคน “เป็นลม” ก่อนมวลชนอีก ตายละวา (ฮาๆ)
ยิ่งเอาข้อนี้ไปรวมกับ “ประเด็น” ที่ไม่มีน้ำหนัก และ “โรดแมป” ที่ยังไม่ส่อว่าจะถูกบิดพลิ้ว จึงมีคนมาร่วมด้วยน้อยกว่านักข่าวที่ไปทำข่าว และแน่นอน น้อยกว่าเจ้าหน้าที่ที่มาสกัด สิ่งที่แกนนำได้รับคือ “ข้อหา”
4) พ่ายแพ้ทั้งอำนาจต่อรองและความชอบธรรมตามกฎหมาย
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ผู้ประสานงานกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ยื่นหนังสือถึงผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม เพื่อขออนุญาตจัดกิจกรรมดังกล่าว ต่อมาวันที่ 17 พ.ค. ผู้กำกับฯ แจ้งสรุปสาระสำคัญ ให้ นางสาวชลธิชา รับทราบ เรื่องหน้าที่จัดการชุมนุม ผู้จัดการชุมนุม และเงื่อนไขต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ. ชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ พ.ศ. 2558 จากนั้นวันที่ 19 พ.ค. นางสาวชลธิชา มีหนังสือถึงผู้กำกับฯ ว่า ยืนยันจัดกิจกรรมดังกล่าว แต่ทางผู้กำกับฯ แจ้งย้ำให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขตามกฎหมายชุมนุม ซึ่งมีการทำหนังสือตอบกับไปมา และวันที่ 21 พ.ค. นางสาวชลธิชา ขอเพิ่มเติมพื้นที่จัดกิจกรรม บริเวณฟุตปาทหน้า ม.ธรรมศาสตร์ เป็นการเพิ่มเงื่อนไขที่เคยขอไว้ในวันที่ 16 พ.ค. โดยผู้กำกับฯพิจารณาสาระสำคัญการชุมนุมแล้ว เห็นว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าว ไม่ใช่การชุมนุมตามนัยตามกฎหมายชุมนุม เนื่องจากเป็นการชุมนุมทางการเมืองเป็นกิจกรรมที่ต้องห้าม ตามคำสั่งคสช.ที่ 3/2558
“การจัดกิจกรรมครั้งนี้ขัดคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ดังนั้น ผู้จัดชุมนุมยื่นขอจัดกิจกรรมไว้ตั้งแต่ต้น ถือว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย ผู้กำกับฯ แจ้งให้แกนนำรับทราบแล้ว อย่างไรก็ตาม ตำรวจเตรียมพร้อมดูแลสถานการณ์ และยืนยันว่า ไม่ได้ไปลิดรอนสิทธิของผู้ชุมนุมแต่อย่างใด แต่เราพยายามทำให้เกิดความปลอดภัยในภาพรวมมากที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา ฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อให้ดำเนินการ จำนวน 5 คน คือ นายรังสิมันต์ โรม นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นายเอกชัย หงส์กังวาน นางสาวณัฏฐา มหัทธนา และ นายปิยะรัตน์ จงเทพ ในข้อหาร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนเกิน 5 คน โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตหัวหน้า คสช. หรือผู้ได้รับมอบหมาย เอาไว้ด้วย
แถมศาลปกครองกลางก็มีคำสั่งไม่รับคำร้องที่ นางสาวชลธิชา และ นายอานนท์ นำภา ทนายความ ไปยื่นคำร้องให้คุ้มครองการชุมนุม
เมื่อดูสภาพแล้ว “เกราะคุ้มกัน” การชุมนุมและแกนนำผู้ชุมนุมไม่มีเลย เมื่อบวกกับประเด็นไม่มี วาระไม่ใช่ มวลชนไม่มา ก็จบในสภาพที่แกนนำต้องประกาศยุติการชุมนุม มอบตัว ขึ้นโรงพัก ดังที่ลงเอยนี้แหละ
อย่างไรก็ตาม คสช. กับรัฐบาล ต้องอ่านเกมนี้ให้ดีๆ มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่ชนะ แต่ก็ไม่เสียเปล่า อย่างน้อยได้ข่าว ได้อีเว้นท์ ได้มีเรื่องให้พรรคการเมืองบางพรรค นักวิชาการบางกลุ่ม เอาไปหาคะแนนนิยมใส่ตัว โจมตีรัฐบาลและคสช. โดยเฉพาะบางพรรคที่กำลังเล่นกับอารมณ์ของ “คนรุ่นใหม่” อาจอาศัยเหตุการณ์นี้ไป “ตีกิน”
มันอาจไม่ใช่ยุทธการ “โค่นไม้ใหญ่”
แต่สิ่งที่ได้คือ “ไฟสุมขอน”
แม้เป็นแค่ “ยุงรำคาญ” แต่อาจนำเชื้อ “ไข้เลือดออก” มาติดได้ง่ายๆ
รัฐบาลกับ คสช. พึงสร้างภูมิคุ้มกันไว้ ด้วยการทำอะไรที่สังคมคาดหวังให้มันสำเร็จในช่วงนี้สักอย่าง เพื่อตัดเกมการเมืองยืดเยื้อและให้คนหันมาโฟกัสว่า ทุกวันเวลามีค่า หากคนจะทำงานจริงจังขึ้นมา วันเดียวก็มีความหมาย ส่วนคนอยากเลือกตั้ง ช่างเขา ไม่เป็นไร
แต่ผมเป็น “คนอยากแก้ปัญหา”
ลุงตู่กับคนในรัฐบาลควรต้องมาในแนวๆ นี้!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี