เป็นความโง่เขลาเบาปัญญามาช้านานแล้วที่มีการออกกฎหมายกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติด หมายความว่าการปลูก การมี และการเสพกัญชาเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยมิได้คำนึงว่าแท้จริงแล้ว กัญชาไม่ได้มีไว้สำหรับเสพอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังใช้ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมายในหลายสถานะ เช่น
ใช้ทำอาหาร ใช้ทำเป็นชูรส ใช้ทำเป็นยา เป็นต้น ซึ่งการใช้ในประการ
ต่างๆ เหล่านี้ เป็นคนละเรื่องกับการเสพหรือสูบกัญชาเพื่อความเมามาย และไม่ได้ใช้เพื่อเป็นยาเสพติด
แต่เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนั้น จึงทำให้การใช้กัญชาที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายตามไปด้วยและเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติและราษฎรจนถึงทุกวันนี้ และเป็นโชคดีของบ้านเมือง ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รับฟังความจริงจากการเสนอของหลายภาคส่วน และได้เริ่มต้นที่จะมีการปลดล็อกกัญชากันแล้ว
จึงเป็นที่หวังได้ว่าในไม่ช้าไม่นาน การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์เพื่อเป็นอาหารหรือผงชูรส หรือเพื่อเป็นยาในการบรรเทาการเจ็บปวด ก็อาจจะเกิดขึ้น และอาจจะเกิดผลประโยชน์ใหญ่หลวงแก่บ้านเมืองก็ได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงควรที่จะจัดเตรียมการทั้งหลายไว้ให้พร้อม
ในเรื่องการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์นั้น ขณะนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า เวชภัณฑ์จากกัญชาสามารถใช้เป็นยารักษาหรือบรรเทาโรคได้หลายอย่าง เช่น มะเร็ง พาร์กินสัน โรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคลมชักชนิดต่างๆ โรคสะเก็ดเงิน และใช้เป็นยาแก้วิงเวียนศีรษะสำหรับผู้สูงอายุ หรือสตรีที่เลือดลมไม่ปกติ
ก็ต้องสำเหนียกไว้ด้วยว่า ความโง่เขลาเบาปัญญาในอดีต ได้ก่อให้เกิดการทำลายล้างสายพันธุ์กัญชาที่ยอดเยี่ยมของโรคคือพันธุ์ไทยแท้ไปเกือบหมดสิ้นแผ่นดินแล้ว และบางประเทศก็ได้ขโมยพันธุ์ออกไปขยายพันธุ์และจดทะเบียนสิทธิบัตรเป็นของชาตินั้นไปแล้ว รวมทั้งได้ดำเนินการผลิตและแปรรูป รวมทั้งส่งออกเวชภัณฑ์หลายชนิดที่ผลิตจากกัญชาเอาไปขายทั่วโลก
ทุกวันนี้กัญชาจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีค่ามาก ดังนั้นแม้จะมีการเริ่มต้นปลดล็อกกัญชาในประเทศไทย ก็จะให้เป็นไปอย่างอ้อยอิ่งหรือแบบขอไปทีไม่ได้ หากจะต้องทำอย่างมีแผนการและถือว่าเรื่องนี้ก็คือกระบวนการทางการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทยด้วย
จะต้องเตรียมแผนการที่เกี่ยวข้องที่สำคัญคือ
ประการแรก การกำหนดพื้นที่สำหรับเพาะปลูกกัญชา ซึ่งหน่วยราชการบางหน่วยงาน ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าพื้นที่ใดในประเทศไทยมีสภาพดิน น้ำ และอากาศ รวมทั้งความสูงที่เหมาะสมกับการปลูกกัญชามากที่สุด ก็พึงกำหนดพื้นที่และเนื้อที่ให้ชัดเจน ให้รองรับกับการใช้ทั้งในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศอย่างเพียงพอ
ประการที่สอง การกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ทำการปลูกกัญชา เพื่อรองรับกับกฎหมายที่จะตราขึ้นใช้บังคับ เพื่อป้องกันมิให้การนำกัญชาไปใช้ในทางผิด โดยเฉพาะใช้เป็นยาเสพติด
ประการที่สาม การกำหนดองค์กรหรือหน่วยงาน ที่จะทำการแปรรูปกัญชา กล่าวคือ
การแปรรูปกัญชาเป็นเวชภัณฑ์ ซึ่งควรกำหนดประเภทเวชภัณฑ์ที่จำเป็นคือ ยารักษามะเร็ง ยารักษาโรคพาร์กินสัน ยารักษาโรคเครียด โรคซึมเศร้า ยาแก้วิงเวียนศีรษะ และยาบรรเทาการปวดสำหรับผู้เจ็บป่วยทั่วไปและผู้ป่วยระยะสุดท้าย พร้อมทั้งส่งเสริมในการแปรรูปและควบคุมการจำหน่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ทั้งภายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศด้วย
การแปรรูปกัญชาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ยาสระผม สบู่ ครีมทาผิว ครีมทาแก้คัน และแก้แพ้ประเภทต่างๆ รวมทั้งการส่งเสริมการบรรจุหีบห่อเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
การแปรรูปกัญชาเป็นซอสชูรสสำหรับผสมกับแกงต่างๆ หรือก๋วยเตี๋ยวต่างๆ รวมทั้งอาหารบางชนิด เพื่อลดการใช้สารชูรสจากสารเคมีที่ก่อเหตุเพศภัยแก่คนไทยอยู่ในปัจจุบันนี้
ประการที่สี่ การจัดตั้งสถานพยาบาลทางเลือก สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงหลายชนิด ที่ต้องการหรือจำเป็นที่ต้องใช้เวชภัณฑ์จากกัญชา
ในการนี้อาจกำหนดให้โรงพยาบาลเป็นผู้ควบคุม และเป็นผู้ใช้เวชภัณฑ์ดังกล่าว ในฐานะที่เป็นยาอันตรายที่ต้องควบคุมก็ได้
การเตรียมการทั้งหลายทั้งปวงให้รองรับกับการปลดล็อกกัญชาจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งอาจต้องกำหนดให้มีหน่วยงานเฉพาะที่กำกับติดตามในเรื่องนี้ เพราะในเมื่อกัญชามีคุณอนันต์ก็มีความเป็นโทษปนอยู่ด้วย นั่นคือการใช้เป็นยาเสพติด
แต่ก็ต้องตระหนักว่า ถึงจะใช้กัญชาเป็นยาเสพติด ก็มิได้มีพิษร้ายแรงเหมือนยาบ้า เพราะคนเมากัญชานั้นไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร จะเสียหายอย่างมากก็แค่มีคนเพ้อฝันเกิดขึ้น แต่อาจจะลดจำนวนหรือเป็นแนวปราการต้านทานการขยายตัวของยาเสพติดร้ายแรงอื่นๆ ได้ด้วย
วันไหนที่มีการปลดล็อกกัญชามาใช้ประโยชน์ดังพรรณนามานี้แล้ว ก็เป็นที่แน่นอนว่ายาที่ใช้สารเคมีและเป็นพิษเป็นภัยกับคนไทยจำนวนมากก็จะขายไม่ออก หรือลดจำนวนการขายลง และจะทำให้ชีวิตสุขภาพของคนไทยดีกว่านี้แน่
แม้กระนั้น การที่รัฐบาลได้ริเริ่มการปลดล็อกกัญชาแล้ว ได้สร้างความยินดีปรีดาแก่คนไทยทั่วประเทศแล้ว แต่อย่าได้วางใจว่าการจะเป็นไปอย่างราบรื่นรวดเร็ว เพราะผู้เสียผลประโยชน์ย่อมพยายามขัดขวางถ่วงรั้งอย่างเต็มที่
ก็นึกดูเอาเองเถิดว่า การใช้ยาเคมีที่เรียกว่าคีโมโดยนำเข้ามาจากต่างประเทศปีละ 150,000 ล้านบาทนั้น และการนำเข้ามอร์ฟีนเพราะใช้เป็นยาแก้ปวด ปีละนับแสนล้านบาท ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชาจะต้องขาดรายได้ขนาดไหน
ถ้ามีเงินทอนสัก 20% ก็เป็นเงินถึง 60,000 ล้านบาทต่อปีแล้ว นี่คือเงื้อมมือปีศาจที่จะดึงการนำกัญชามาใช้ที่จะต้องช่วยกันจับตามองให้ดี!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี