ความฝันของสังคมไทยที่ต้องการเป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามทฤษฎีรัฐศาสตร์ คือ เป็นสังคมการเมืองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งคณะผู้ก่อการซึ่งนำโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา กับคณะของนายปรีดี พนมยงค์ ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยอ้างว่าจะให้ประเทศไทยมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยตามอารยประเทศตะวันตก
แต่ปรากฏว่ากว่า 85 ปี จนถึงปัจจุบันประเทศไทยไม่เคยมีการปกครองระบอบนี้เลย แม้ว่าจะมีการปฏิวัติจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ปรากฏว่าจากระบบดังกล่าวกลับกลายเป็นการปกครองระบอบ อำมาตยาธิปไตย และมีการแย่งอำนาจการปกครองระบอบนี้ระหว่างนายทุนกับขุนศึกมาตลอด เกิดการปฏิวัติรัฐประหารตลอดมามากกว่า 20 ครั้ง จนกระทั่งปัจจุบันที่ปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดยผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาครบ 4 ปี แล้ว ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยเฝ้ารอคอยที่จะเห็นแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยเกิดขึ้น
แต่ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2560 กลับเป็นรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” เท่านั้น และที่อ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกงนั้นกลับปรากฏว่าหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญกลับปรากฏว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงกลับปะทุขึ้นทางภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐนั้นมีเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นทั้งตัวผู้บริหารระดับสูง แม้จะไม่ใช่ตัวหัวหน้าผู้ทำการปฏิวัติแต่ก็เกิดจากบุคคลใกล้ชิดรวมทั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำที่เป็นข่าวอยู่จนกระทั่งประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย
นอกจากนั้นผู้มีอำนาจในการปฏิวัติที่ประชาชนเข้าใจว่าทำการปฏิวัติเพื่อล้างความโสโครกในวงการเมืองก็ไม่ได้ใช้อำนาจเด็ดขาดเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านในการล้างบางกลุ่มคนที่โกงกินบ้านเมือง ตรงข้ามกลับปล่อยให้ลอยนวลโดยไม่สามารถนำมาลงโทษเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นคนแวดล้อมที่เป็นมือของผู้มีอำนาจซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้เกิดความรุ่งเรืองแก่สังคมก็กลับมีพฤติกรรมที่แปลกๆ จนทำให้ความศรัทธาต่อผู้นำลดลงเรื่อยๆ
สรุปรวมความว่าอนาคตของสังคมไทยจะเป็นอย่างไร จะสดใสหรือย่ำแย่ยิ่งกว่าในอดีตที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ สิ่งเดียวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบความสำเร็จ ก็คือ การรักษาความสงบโดยอาศัยอำนาจมาตรา 44 ซึ่งเป็นเรื่องทางสังคมแต่เมื่อถึงวันที่ครบ 4 ปีแห่งการปฏิวัติความอดทนของกลุ่มชนที่ต้องการให้คณะปฏิวัติคืนสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยเกิดความไม่พอใจและรวมตัวกัน ณ จุดเดิม คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คล้ายๆ กับเหตุการณ์ก่อนวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งก่อให้เกิดวันมหาวิปโยค ซึ่งในวันนั้นด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทำให้วันมหาวิปโยคกลายเป็น “วันมหาปิติ” และสังคมไทยกลับกลายเป็นสังคมที่สงบมีผลทำให้เกิดสังคมประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. 2517 มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย และอยู่จนกระทั่งวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2517 จึงเกิดการปฏิวัติและเกิดรัฐบาลทหารอีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้นในเดือนตุลาคม 2561 อะไรจะเกิดขึ้นในทางการเมืองของไทยขึ้นอยู่กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำให้เกิดความสงบจะเดินตามโรดแมปอย่างไร ปัญหาทั้งหมดขึ้นอยู่กับฝีมือของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะทำให้สังคมไทยคืบคลานไปสู่สังคมประชาธิปไตยครึ่งใบจนถึงสังคมประชาธิปไตยเต็มใบในที่สุด แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็อาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “วงจรอุบาทว์” ก็จะกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี