นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ของคณะทหารในนาม คสช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 เป็นต้นมานั้น รัฐบาลชุดนี้ได้แสดงความเข้มแข็งเด็ดขาดในการปฏิบัติหน้าที่ที่รัฐบาลชุดอื่นๆ ไม่กล้ากระทำในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นการ “ผ่าตัด” และปฏิรูปหน่วยราชการหลายๆ แห่งรวมไปถึงการปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองของคณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ทำให้ศาสนาบริสุทธิ์มากขึ้น
เดิมการบริหารและสนับสนุนคณะสงฆ์ไทยขึ้นอยู่กับกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการมาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 1 ศตวรรษ เมื่อรัฐบาลระบอบทักษิณเข้ามาครองอำนาจทางด้านการเมืองหลังชนะเลือกตั้งปี 2544 เขาได้ดำเนินการปฏิรูประบบราชการ กระทรวง ทบวง กรม มีการขยายส่วนราชการออกไปเป็น 20 กระทรวง จากเดิม 14 กระทรวงมีการจัดตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณการบริหารจัดการคณะสงฆ์ไทยจำนวน 3 แสนกว่ารูป จุดนี้เองที่กลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคิดมิชอบเงินหลวงปีละหลายร้อยล้านบาทด้วยการร่วมมือของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งมีพระชั้นผู้ใหญ่ 20 รูปทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์กับข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ.
ก่อนวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 คณะกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ทั้ง 20 รูป เป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย10 รูป คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก, สมเด็จพระมหาวีรวงศ์, สมเด็จพระวันรัต, สมเด็จพระธีรญาณมุนี, พระพรหมเมธาจารย์,พระพรหมเมธี, พระพรหมมุนี, พระพรหมวิสุทธาจารย์,พระธรรมธัชมุนี, พระธรรมบัณฑิต และอีก 10 รูป เป็นมหานิกาย
คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์,สมเด็จพระพุทธชินวงศ์, สมเด็จพระพุฒาจารย์,สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, พระพรหมวชิรญาณ,พระวิสุทธิวงศาจารย์, พระพรหมดิลก, พระพรหมบัณฑิต, พระพรหมโมลี และพระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม 3 คนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตภายใน พศ.
ได้แก่ พระพรหมสิทธิ หรือธงชัย สุขญาโณ เจ้าอาวาสวัดสระเกศและเจ้าคณะภาค 10 มหานิกาย, พระพรหมเมธีเจ้าคณะภาค 4 ธรรมยุติกนิกาย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยาเจ้าคณะกรุงเทพมหานครฝ่ายมหานิกายปรากฏว่าพระพรหมสิทธิกับพระพรหมเมธีหลบหนีไปได้ในวันดังกล่าว ที่ถูกจับกุมได้คือพระพรหมดิลกรูปเดียวพร้อมกับพระชั้นผู้ใหญ่อีก 4 รูป คือ 3 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้แก่ พระศรีคุณาภรณ์, พระครูสิริวิหารการสมจิตร, พระวิจิตรธรรมาภรณ์ พระอรรถกิจโสภณเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
ส่วนพระสงฆ์ผู้ต้องหาที่หลบหนีการจับกุมมี4 รูป คือ พระพรหมสิทธิ, พระพรหมเมธี, พระราชอุปเสนาภรณ์ และพระราชกิจจาภรณ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองคาดว่าพระทั้ง 4 รูป อาจจะรู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนว่าถูกหมายจับจึงได้เดินทางหลบหนีคดีอาญาออกไปนอกพระราชอาณาจักรแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม โดยใช้หนังสือเดินทางของไทย
นอกจากพระสงฆ์แล้วตำรวจได้จับกุม 4 ผู้ต้องหาที่เป็นฆราวาสไว้ด้วยได้แก่ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยามารดาของ ร.ท.ฐิติทัตน์ นิพนธ์พิทยา นายทหาร ศรภ.น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่ค้าตลาดนัดและแม่บ้านของน.ส.ฑัมม์พร นายทวิช สังอยู่ กับ นายธีระพงษ์ พันธุ์ศรี ลูกศิษย์วัดคนสนิทของพระพรหมสิทธิ
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์นั้นได้ดำเนินการปฏิรูปวงการสงฆ์มาตั้งแต่ปี 2558 แล้วมีการมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนและสอบสวนในทางลับมาตั้งแต่ปลายปีนั้นและเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2559 จนถึงต้นปี 2560 ได้เข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมตัวพระธัมมชโยซึ่งหนีคดีอาญาไปต่างประเทศช่วงนั้นได้มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
ผู้อำนวยการคนใหม่จากรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สืบสวนหาหลักฐานคดีทุจริตจนได้ตัวผู้ต้องหาเป็นข้าราชการระดับ 11,10,9 และ 8 รวม 9 คน ซึ่ง 3 คน ได้แก่2 อดีต ผู้อำนวยการ พศ.คือ นายนพรัตน์เบญจวัฒนานันท์ กับ นายพนม ศรศิลป์ อีกคนคือ น.ส.ประนอม คงพิกุลรอง ผู้อำนวยการ พศ. และในเย็นวันเดียวกันคือวันที่ 24 พฤษภาคม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ประธานคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ได้มีคำสั่งปลด 3 พระพรหมพ้นจากตำแหน่งในมส.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ต้องขอปรบมือให้กับรัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล้าใช้ความเฉียบขาดทางกฎหมายกับกลุ่มมารศาสนาทั้งสงฆ์และฆราวาสเป็นจำนวนมากได้สำเร็จเพราะรัฐบาลที่เป็นนักการเมืองส่วนใหญ่แล้วไม่กล้าดำเนินการเพราะกลัวจะเสียฐานคะแนนเสียง มีแต่รัฐบาลชุดนี้เท่านั้นที่กล้าจัดการกับพระอลัชชีอย่างแท้จริง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี