นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. แสดงความเห็นในเชิงไม่พอใจ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้ขอโทษต่อกรณีปฏิบัติการของตำรวจที่บุกจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา
นพ.เหวง อ้างทำนองว่า สมัยบุกเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย มีทหารพร้อมด้วยอาวุธสงครามครบมือจำนวนนับพันนาย มีลวดหนามหีบเพลงล้อมรอบ ปิดล้อมอยู่หลายวัน ทำอย่างกับเป็นสงครามกลางเมือง กลับไม่เห็นมีใครออกมาขอโทษ
1. ในความเป็นจริง ก่อนธัมมชโยจะถูกออกหมายจับ ก่อนที่จะเจ้าหน้าที่จะต้องระดมกำลังกันเพื่อจะเข้าไปตรวจค้นวัดพระธรรมกายนั้น ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนได้มีหมายเรียก
และให้โอกาสธัมมชโยเข้ามามอบตัวหลายต่อหลายครั้ง
แต่ฝ่ายธัมมชโย ก็อ้างโน่น อ้างนี่ ขอเลื่อนขอผลัดไปเรื่อยๆ
ไม่ยอมออกมาพบเจ้าพนักงานสอบสวนที่ ดีเอสไอ
ย้ายมานัดที่สถานีตำรวจใกล้วัด ก็ยังไม่ออกมาพบ
เตรียมจะพาไปโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ใกล้วัด ก็ยังไม่ออกมาพบ
อ้างว่า ป่วยหนัก ไม่หนีไปไหน
แต่พอเจ้าหน้าที่จะเข้าไปจับกุมตามหมายจับ กลับมีขบวนการระดมคนมาสร้างเงื่อนไขอุปสรรค
พอเข้าไปตรวจค้น ก็ไม่ตามที่อ้างว่าป่วยหนักอยู่ในวัด หนีหายจ้อยไปเสียแล้ว
แต่กรณีของพระพุทธะอิสระ ถ้าจำกันได้ จะเห็นว่า ท่านเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาพนักงานสอบสวนโดยตลอด ไม่ว่าจะต้องคดีใด ไม่ว่าจะเป็นการไปขึ้นศาลอาญา หรือไปที่ดีเอสไอ หรือแม้แต่เดินทางเข้าไปที่กองปราบปราม
ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 9 มกราคม พระพุทธะอิสระก็เพิ่งเป็นฝ่ายเดินทางเข้าไปที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมด้วยทนายความ เพื่อเข้าพบเจ้าหน้าที่ กก.5บก.ป. เพื่อขอชี้แจงและสอบถามข้อมูลในกรณีที่ทราบข่าวว่ามีผู้แจ้งความร้องทุกข์เอาผิดในคดีเกี่ยวกับมาตรา 112
(ภาพข่าว วันที่ 9 ม.ค.2561 ที่กองปราบ)
ในวันที่ 9 ม.ค. 2561 พระพุทธะอิสระกล่าวกับสื่อมวลชนหน้ากองปราบฯว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาพบเจ้าของคดี เพื่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งชี้แจงในทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา โดยหากพบว่ามีความผิดจริงก็ขอให้แจ้งข้อกล่าวหาได้เลย ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ทางพนักงานสอบสวน บก.ป. ได้ติดต่อมายังทนายความส่วนตัวว่า จะให้มาเข้าพบเจ้าหน้าที่ แต่สุดท้ายทางตำรวจก็แจ้งว่าเลื่อนไม่ต้องเข้ามาพบแล้ว
“ก่อนหน้านี้ทราบข้อมูลมาว่ามีตำรวจเข้าไปสอบปากคำคนใกล้ชิดและบุคคลภายในวัดอ้อน้อย นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่าจะมีการบุกค้นวัดอ้อน้อย วันนี้จึงเดินทางมาพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน” พระสุวิทย์ กล่าว
จะเห็นได้ว่า พระพุทธะอิสระ ได้แสดงออกด้วยกระทำเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ไม่เคยคิดจะหลบหนี หรือแม้แต่ประวิงเวลาในการเข้ามอบตัวต่อสู้คดีตามข้อกล่าวหา
แต่กลับปรากฏว่า ตำรวจได้นำกำลังบุกไปจับกุมคากุฏิ คาที่นอน โดยพังประตูเข้าไปพร้อมเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือ ราวกับไปจับกุมผู้ก่อการร้ายหลบหนีคดี
ขณะเดียวกัน กรณีที่ดีเอสไอบุกไปตรวจค้นเพื่อจับกุมธัมมชโย กลับใช้เวลาล้อมอยู่หลายวัน กราบแล้วกราบอีก กว่าจะได้เข้าไปดูตามสถานที่ต่างๆ ทีละจุด ทีละหย่อม แล้วก็ไม่ได้ตัวผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน ตามหมายจับของศาล
ในเมื่อข้อเท็จจริงของเหตุการณ์แตกต่างกันเช่นนี้ การที่หมอเหวงออกมาขยับปาก ทำนองว่าให้ไปขอโทษธรรมกายด้วยนั้น จึงเป็นเรื่องที่ “เหวง” จริงๆ
เอาอย่างนี้... ถ้านายกฯ หรือรองนายกฯ เอ่ยปากขอโทษแล้ว ธัมมชโยจะยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนพระพุทธะอิสระไหม?
หมอเหวงมีปัญญาการันตีไหม? รับรองได้ไหม?
ถ้าไม่มีปัญญาตามตัวธัมมชโยมาขึ้นศาลได้เหมือนพระพุทธะอิสระ ก็ควรหุบปากให้สนิทจะดีกว่า
2.ขณะนี้ อดีตพระพุทธะอิสระยังอยู่ในเรือนจำ เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เปิดเผยหลังเข้าเยี่ยมอดีตพระพุทธะอิสระว่า จากการเข้าไปสังเกตพบว่า ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่วนเรื่องโรคประจำตัว เบื้องต้นประสานให้ลูกศิษย์ได้แจ้งอาการป่วยและนำยามาฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แล้ว ท่านฝากบอกลูกศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาว่าไม่ต้องเป็นกังวล
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า กรณีเหตุการณ์ที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามเข้าไปจับกุมภายในกุฏิ สร้างความรู้สึกไม่ดี ตอนแรกจะทำหนังสือถึง ผบ.ตร. และนายกฯ แต่หลวงปู่ห้ามไว้ โดยหลวงปู่ระบุว่าเป็นบทเหมาะสมที่สุด ดีที่สุดแล้ว แม้หลวงปู่เป็นผู้หนึ่งถูกดำเนินคดี เพราะเข้าใจความจำเป็นของรัฐบาล ของเจ้าหน้าที่ ตนจึงน้อมรับเจตจำนงของหลวงปู่
“สำหรับการขอประกันตัว หลวงปู่ขอยังอยู่ในเรือนจำต่อไป ยังไม่ขอประกันในช่วงนี้ เนื่องจากอยากปฏิบัติกรรมฐาน ปลีกวิเวกอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อถึงห้วงเวลาเหมาะสมก็ค่อยว่ากันต่อไป หลวงปู่ฝากบอกสังคม ลูกศิษย์ว่าไม่ต้องห่วงใย ขอให้คิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นคุณของแผ่นดิน เป็นสิ่งที่หลวงปู่ต่อสู้มาตลอดชีวิตเพื่อให้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา” นายไพบูลย์ กล่าว
3.สิ่งที่สังคมพึงช่วยกันผลักดันต่อไป คือ การเดินหน้าตรวจสอบการทุจริตในวงการสงฆ์ และสะสางอลัชชีที่แฝงฝังตัวเองอยู่ในวงการปกครองสงฆ์ เพื่อมิให้เจตนารมณ์ของพระพุทธะอิสระสูญเปล่า
วัดต้องเป็นวัด พระต้องเป็นพระ
การสะสางสิ่งเลวร้ายในคณะสงฆ์ จะต้องเกิดขึ้น โดยความสนับสนุนของพุทธบริษัท 4
สมดั่งที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท เมื่อวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ในการประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ความตอนหนึ่งว่า
“...ท่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่นี้ ย่อมทราบดีว่าท่านเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย
ในกฎหมายของบ้านเมืองนั้น ถ้าบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน คือถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุคคลผู้เป็นเจ้าพนักงานก็ย่อมต้องได้รับผลร้ายตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างไม่มียกเว้น
กฎหมายนั้นนับเป็นบรรทัดฐานที่หนักที่สุดของสังคม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืน ก็ต้องได้รับโทษตามบทบัญญัติ ในขณะเดียวกัน เราทั้งหลายก็ล้วนเป็นบรรพชิต ยังมีบรรทัดฐานอีกระดับหนึ่งที่เรียกว่า “พระธรรมวินัย” คอยกำกับความประพฤติไว้ พระภิกษุสามเณรนั้น ถ้าดำรงตนอยู่ในพระธรรมวินัยได้ ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ เลยว่ากฎหมายบ้านเมืองจะมาส่งผลร้ายอะไรแก่ตัวท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงวางระเบียบแบบแผนการวางตนของบรรพชิต ทั้งในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล และในฐานะที่จะมีความสัมพันธ์กันในหมู่คณะที่เรียกว่าคณะสงฆ์ ไว้อย่างครบถ้วนงดงามทุกสถานแล้ว
ในการประชุมเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศในครั้งนี้ ผมจึงขอย้ำเตือนให้ทุกท่านได้ศึกษาทบทวน ปฏิบัติการ และกวดขันผู้อยู่ในปกครอง ให้อยู่ภายใต้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง อย่างเคร่งครัด
และขอให้ท่านยึดถือปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการอย่างมั่นคง เพื่อช่วยกันรักษาเชิดชูคณะสงฆ์ของเรา จรรโลงพุทธจักรของเรา ให้สถาพรมั่นคงเป็นหลักอยู่คู่ราชอาณาจักรไทย สมพระราชประสงค์ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ตลอดกาลนาน”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี