ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดความเชื่อที่ว่า คนไทยยังไม่พร้อมกับการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ผมว่าคนไทยทุกคนพร้อม เพราะผมเชื่อว่าไม่มีคนไทยใดที่ไม่ต้องการสิทธิเสรีภาพ ที่ไม่ต้องการรับรู้ รู้เห็นความเป็นไปของบ้านเมือง รวมทั้งการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนั้น ผมยังเชื่อว่าคนไทยก็อยากเป็นพลเมืองประชาธิปไตยแบบชาวตะวันตก แบบชาวญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน แต่บังเอิญที่อุปสรรคไม่ได้อยู่ที่คนไทยทั้งหลาย
ผมกลับเห็นว่าอุปสรรคประชาธิปไตยของไทยนั้นมาจากกลุ่มผู้นำ ผู้มีอำนาจรัฐ ผู้มีอำนาจเศรษฐกิจต่างๆ ต่างหาก ที่มักจะทำตัวเป็นพวกอำนาจนิยม เป็นพวกอภิสิทธิ์ชน ซึ่งขัดขวางกั้นการพัฒนาของสังคมประชาธิปไตย
โดยพวกกลุ่มชนชั้นนำนี้มักฉวยโอกาส จากการอ้างว่าประชาชนยังไม่พร้อม อ้างว่าสังคมเสรีประชาธิปไตยมีปัญหาต่างๆ แล้วก็ตัดสินใจกันเอาเองว่า สังคมไทยควรจะต้องเป็นสังคมที่มีผู้นำนำพา เหมาะกับระบอบเผด็จการเบาๆ หรือเป็นสังคมที่อำนาจร่วมคู่กรณี โดยยกเอาเหตุผลว่า สามารถทำให้สังคมมีเสถียรภาพ ไม่สับสนวุ่นวายด้วยการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพ โดยไม่ได้คำนึงว่าเป้าหมาย และเนื้อหาของการแสดงออกนั้น ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ แต่เหมารวมเอาว่าการประท้วงใดๆ ของประชาชนล้วนเป็นเรื่องไม่ดีทั้งสิ้น เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพ (ของชาติ หรือของผู้กุมอำนาจก็มิแน่ชัด)
ฉะนั้น แนวโน้มของสังคมไทยจากนี้ก็จะเป็นแบบกลุ่มผู้นำนำพา โดยให้สังคมไทยลืมเรื่องการเป็นเสรีประชาธิปไตยไปเสีย แล้วเชื้อเชิญชาวไทยให้มาอยู่ในสังคมเผด็จการ หรือสังคมเสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือสังคมประชาธิปไตยแบบชี้นำนำพากันดีกว่า
ฉะนั้น การที่จะคิดอ่านมุ่งมั่นแก้ไขข้อบกพร่องของสังคมไทย ของผู้อาสามาปฏิรูปประเทศครั้งนี้ ก็คือการพาสังคมไทยวิ่งไปสู่ความเป็นเผด็จการโดยปริยาย
ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองขอปฏิเสธแนวนี้โดยสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่าความบกพร่องต่างๆ ของสังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยนั้นสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งถ้าคนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ชาวเอเชียด้วยกันเขาทำได้ แล้วทำไมคนไทยเราจะทำไม่ได้
3 ประเทศนี้ผู้นำเขามุ่งมั่นให้สังคมเขาเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ตอบสนองความต้องการ ความหวังของประชาชนของเขา
ซึ่งหากผู้นำของไทยเรา มิได้เป็นเช่นนั้น ก็คงต้องรวมพลังเชิญลงจากเวที ไม่ก็ขับไล่กันออกไป เพื่อ
เปิดโอกาสให้ประชาชนว่ากันเอง ในการปฏิรูปการเมืองที่เสริมสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตย
ส่วนจะทำได้ไหม หรือทำกันอย่างไร จะแก้ปัญหาของสังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยกันอย่างไรนั้น ถ้า
ร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ ก็คงไม่ยากเย็นนัก โดยไทยเราต้องเดินหน้ากระบวนการอย่างที่มิตรประเทศประชาธิปไตยเขาต่างทำกัน โดยล่าสุดอินโดนีเซียก็กำลังเร่งปฏิบัติอยู่ อันได้แก่
เสริมสร้างองค์ความรู้ว่าด้วย ประชาธิปไตย โดยเฉพาะการสร้างความเข้าอกเข้าใจในบทแรก (5 มาตราแรกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยราชอาณาจักร สิทธิหน้าที่ การแบ่งแยกและการคานอำนาจ) ให้กับประชาชนทั่วไปส่งเสริม และเปิดโอกาสการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีข้อมูลว่าด้วย กฎเกณฑ์ระเบียบบริหารของภาครัฐอย่างชัดเจนให้กับประชาชนการให้ประชาชนได้รับรู้และมีส่วนร่วมในการแสดงข้อคิดเห็น และตัดสินใจในการใช้งบประมาณต่างๆ อย่างโปร่งใสการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น การมอบความรับผิดชอบต่อวิชาชีพของตัวเอง การเสริมสร้างขบวนการภาคประชาสังคมในการดูแลทุกข์สุขประจำวันของกลุ่มด้อยโอกาสด้วยหลักว่า อะไรประชาชนและกลุ่มอาชีพทำเองได้ รับผิดชอบเองได้ก็ให้ทำ ภาครัฐมีหน้าที่สนับสนุนและดูความเรียบร้อยยุติธรรมเท่านั้นการใช้ประโยชน์จากวิวัฒนาการเทคโนโลยีสื่อสาร เพื่อการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน และการใช้เป็นกลไก การมีส่วนร่วมคิดร่วมทำ ร่วมตัดสินใจกิจการใดๆ ที่สำคัญจะใช้แค่เสียงข้างมากในสภาอย่างเดียวไม่ได้ ทางสภาต้องกลับมานำเสนอต่อประชาชนเพื่อร่วมพิจารณาก่อน หรือนัยหนึ่งฝ่ายรัฐ (ทั้งรัฐบาลและสภา) ต้องหารือประชาชนโดยตลอด มิใช่อย่างที่เป็นมาคือ เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนแล้ว ผู้แทนก็ไปทำอะไรก็ได้ เพื่อบอกว่าได้รับเลือกมาแล้ว แต่ต่อไปนี้ต้องหารือประชาชนโดยตลอด ก่อนออกกฎหมาย ก่อนอนุมัติงบประมาณ เพื่อให้ฝ่ายการเมืองผูกติดกับประชาธิปไตยตลอดเวลา มิใช่แค่วันหยอดบัตรเลือกตั้งการทำงานในสภาต้องเปิดเผย ต้องมีการถ่ายทอดโดยตลอด และการประชุมคณะรัฐมนตรีก็ต้องเปิดเผย แล้วเมื่อมีมติใดๆ ก็ต้องมีการชี้แจงการดำเนินการขั้นต่อไปด้วย เพื่อความโปร่งใส และประชาชนตรวจสอบได้
ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การที่ผู้มีอำนาจรัฐไม่ไว้วางใจในความสามารถของประชาชน แล้ว
รวบอำนาจสั่งการไว้ที่ส่วนกลางเสียหมด ไม่ยอมรับการตรวจสอบใดๆ สุดท้ายก็นำไปสู่การใช้อำนาจโดยมิชอบ นำสังคมไปสู่ความเบื่อหน่ายการฉ้อฉลของผู้บริหารประเทศ และกดดันให้ประชาชนต้องออกมาประท้วงจนเกิดวิฤติทางการเมืองที่วุ่นวาย
ดังนั้น เราควรจะเปลี่ยนวิธีแก้ไขปัญหาจากการรวบอำนาจ ไปเป็นการกระจายอำนาจ การส่งเสริมความเข้าใจประชาธิปไตยพื้นฐานให้กับประชาชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากภาคประชาชน เพราะสังคมยิ่งเปิดเผย ประชาชนก็ยิ่งแข็งแกร่ง ประชาธิปไตยยิ่งแข็งแรง ประเทศชาติก็ยิ่งก้าวหน้า
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี