ต่อภัสสร์ : ในสัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันโดยรัฐบาลนี้ ในวาระครบรอบ 4 ปี คสช. สรุปได้ว่ารัฐบาลนี้ก็มีความพยายามออกมาตรการและนโยบายเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ มากพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบการจัดตั้งหน่วยงานและคณะกรรมการขึ้นมาดูแลจัดการปัญหา เราสองต่อมีความเห็นร่วมกันว่า แม้วิธีการนี้จะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างยั่งยืน แต่ก็เป็นรากฐานที่สำคัญในการผลักดันกฎหมายและสร้างระบบเพื่อการป้องกันการคอร์รัปชันต่อไปในอนาคต
ระบบป้องกันการคอร์รัปชันที่ยั่งยืนนี้ เราเกริ่นกันไปเล็กน้อยในตอนที่แล้วว่า ต้องเป็นระบบที่เอื้อให้ประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วยอย่างกว้างขวาง ซึ่งประเทศไทยก็มีระบบที่มีลักษณะแบบนี้อยู่ระบบหนึ่ง นั่นคือ โครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition Against Corruption: CAC) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) ซึ่งตามชื่อก็บ่งบอกว่าเป็นการดำเนินงานโดยภาคเอกชน
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของผู้ประกอบการที่มีต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ผลักดันให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ และส่งเสริมให้เกิดเครือข่าย ระบบนิเวศน์ทางธุรกิจที่ปราศจาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยโครงการกำหนดเกณฑ์ธรรมาภิบาลจำนวน 71 ข้อ ไว้ให้บริษัทที่ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมปฏิบัติตาม และเมื่อได้รับการตรวจสอบว่าผ่านเกณฑ์เหล่านี้แล้ว ก็จะได้รับการรับรองว่าเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาล สามารถนำตราสัญลักษณ์ CAC ไปประดับได้
ต่อตระกูล : เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า โครงการ CAC นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้ใสสะอาด ลดการคอร์รัปชันลงได้ เพราะถ้ามุ่งแต่จะออกกฎหมายห้ามข้าราชการและนักการเมืองรับสินบนเท่านั้น แต่ไม่ได้ป้องกันไม่ให้ภาคเอกชนจ่าย สุดท้ายสองฝ่ายก็มีโอกาสหาช่องโหว่ไปจ่ายเงินกันได้อยู่ดี สุดท้ายผลเสียก็จะตกอยู่กับบริษัทเอกชนที่มีต้นทุนในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น
ทราบมาว่าปัจจุบันมีบริษัทไทยร่วมประกาศเจตนารมณ์กับ CAC แล้วถึง 905 บริษัท และได้รับการรับรองแล้ว 325 บริษัท โดยทั้งหมดเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ และในอนาคตก็มีแผนขยายการรับรองไปสู่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กภายในประเทศ (SME) เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ที่กว้างขวางครอบคลุมธุรกิจที่หลากหลายและเชื่อมกับประชาชนผู้บริโภคสินค้าของธุรกิจเหล่านี้ได้ใกล้ชิดขึ้น
การขยายระบบนิเวศน์ที่มีความครอบคลุมกว้างขวางเช่นนี้ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วจะทำอย่างไรเพื่อชักชวนให้ธุรกิจทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ เข้าร่วมการมีธรรมาภิบาลได้มากที่สุด นอกจากเพื่อลดต้นทุนจากการจ่ายสินบนซึ่งคงจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวแล้ว ธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
ต่อภัสสร์ : นี่เป็นคำถามที่ดีมากครับ ตอนนี้ที่ชัดเจนเลย คือการลงทุนจากกองทุนธรรมาภิบาลไทย ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จำนวน 11 แห่ง ที่มีเงินลงทุนรวมกันกว่า 5 พันล้านบาท จะเลือกลงทุนเฉพาะบริษัทที่ได้รับการรับรองจาก CAC แล้วเท่านั้น นอกจากนี้ที่ผ่านมาโครงการ CAC ก็ได้เริ่มดำเนินการประสานกับหน่วยงานราชการ เช่น กรมต่างๆ ในกระทรวงพาณิชย์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความสำคัญเรื่องธรรมาภิบาล
เพื่อหาผลประโยชน์เพิ่มเติมให้กับบริษัทที่ได้รับการรับรองจาก CAC อีกด้วย แต่ผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการมีธรรมาภิบาลก็คือ ความยั่งยืนของบริษัทนั้นๆ
โดยในเรื่องความยั่งยืนของบริษัทเอกชนที่มีธรรมาภิบาลนั้น มีผลการศึกษาที่น่าสนใจจากปริญญานิพนธ์ของนายพลช จุลสุคนธ์ นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง การศึกษารูปแบบวิธีการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการต่อต้านคอร์รัปชัน กรณีศึกษา โครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต ซึ่งผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ได้ศึกษาการประเมินผลประโยชน์ของบริษัทเมื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาลต่างๆ
จากทั่วโลก พบว่าบริษัทที่มีธรรมาภิบาลโดยเฉลี่ยมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น อัตราการจ่ายปันผล และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ทำให้มีอัตราความอยู่รอดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด นอกจากนี้ในมุมมองของการลงทุน พบว่าดัชนีธรรมาภิบาลมีผลกระทบในทางบวกต่อมูลค่าที่นักลงทุนมองเห็นจากหลักทรัพย์ ส่งผลให้ราคาของหลักทรัพย์ของบริษัทสูงขึ้น
ปริญญานิพนธ์ชิ้นนี้ได้รวบรวมเครื่องมือที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างการมีธรรมาภิบาลและความยั่งยืนมาสร้างเป็นแบบจำลองวิเคราะห์ผลประโยชน์และต้นทุนในการมีธรรมาภิบาลของบริษัทไทย พบว่าบริษัทที่ได้รับการรับรองจาก CAC ส่วนหนึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย และหลักทรัพย์ของบริษัทถูกซื้อขายด้วยราคาและปริมาณที่สูงค่าค่าเฉลี่ยของตลาด แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนอกจากนี้ หากนักลงทุนถือสินทรัพย์ของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการในช่วงตลาดขาลงนั้น มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถือมีแนวโน้มจะลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ส่วนต้นทุนการเข้าร่วมโครงการนั้น พบว่าอยู่ในอัตราต่ำเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ต่างๆ ที่บริษัทจะได้รับ
ต่อตระกูล : เมื่อบริษัทเอกชนได้เห็นประโยชน์ของการมีธรรมาภิบาลต่อความยั่งยืนของบริษัทแล้วเช่นนี้ ก็คงจะมีบริษัทขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ จำนวนมากขึ้นที่เข้าร่วมการรับรองนี้ในอนาคตอันใกล้ เมื่อบริษัทไม่ต้องจ่ายสินบน ต้นทุนบริษัทก็ลดลง สินค้าและบริการที่ประชาชนผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ก็จะมีความคุ้มค่ากับราคามากขึ้น สภาพแวดล้อมเช่นนี้คือระบบนิเวศน์ที่ดีต่อการพัฒนาประเทศให้สะอาดโปร่งใสอย่างยั่งยืนครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี