เมื่อฤดูกาลเลือกตั้งเริ่มตั้งเค้า วงการการเมืองก็ย่อมคึกคักกันเป็นธรรมดา แต่แทนที่บรรดาพรรคการเมืองจะมุ่งแสดงตัวว่า ตนเองได้มีการปรับปรุงตัวให้เป็นองค์กร หรือสถาบันการเมืองประชาธิปไตยที่พึงควรต่อความน่าเชื่อถือและน่าเคารพ บรรดาพรรคต่างๆ กลับมีแต่ข่าวออกมาสู่สาธารณชนว่า กำลังกระดี๊กระด๊าในการที่จะได้เข้าร่วมในรัฐบาลผสมทหารนำพา หรือไม่ก็แต่งตัวคอยท่า รอให้เขาเข้ามา “ดูด” ไปอยู่ในอาณัติ ชนิดที่คิดกันไปแล้วว่า พรรคใดที่ยังคิดยืนหยัดอยู่กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างเหนียวแน่น ก็การันตีกันได้ว่า จะได้ไปเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย หรือฝ่ายค้าน อย่างสมภาคภูมิแน่
อย่างไรก็ตาม มีอยู่พรรคหนึ่งที่แสดงออกว่าไม่เอากับฝ่ายพรรคทหารนำพาแน่ เพราะเคยถูกฝ่ายทหารขับไล่ออกไปจากอำนาจ พร้อมกับมีความเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไร พรรคของเขาก็จะชนะการเลือกตั้งแน่ๆ เพราะมั่นใจว่า ผู้นำตัวจริงของพรรค (ที่ต้องพำนักในต่างแดน) ยังคงเป็นขวัญใจชาวบ้านรากหญ้า และเป็นที่ชื่นชอบของวงการธุรกิจทุนนิยมสามานย์ และยังเชื่ออย่างสุดหัวใจอีกว่า นโยบายประชานิยมยังคงขายได้ แม้ว่าสังคมไทยจะได้ประสบกับความวอดวายจากผลของมันมาแล้วก็ตามที
ด้วยความมั่นอกมั่นใจดังกล่าว ช่วงที่ผ่านมา สังคมก็เลยได้เห็นบรรดาลิ่วล้อของระบอบทักษิณค่อยๆ ทยอยออกมาเป็นทิวแถว เรียงหน้ากันออกมาร่วมกันป่าวประกาศว่า เมื่อพวกเขากุมชัยชนะเป็นรัฐบาลได้แล้ว สิ่งแรกที่จะดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็คือ การนำเอาบรรดาแม่ทัพนายกอง นักก่อการปฏิวัติรัฐประหารทั้งหลาย มาขึ้นเขียงลงโทษให้สาสมแก่ใจ และอ้างด้วยว่าเหล่าทหารหาญนี้เป็นพวกทำลายประชาธิปไตย
ก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่บรรดาลิ่วล้อระบอบทักษิณหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพ แล้วอะไรที่ก่อให้เกิดการประท้วงอย่างใหญ่หลวงโดยประชาชนพลเมืองกันทั่วประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน ที่ไม่กล้าพูดก็รู้อยู่แก่ใจว่าต้นเหตุคือ พวกตนทั้งนั้น
ก็เลยต้องขอใช้พื้นที่ตรงนี้ มาย้ำเตือนกันอีกสักครั้ง (อาจจะต้องมีอีกหลายๆ ครั้งในอนาคตก็เป็นได้) ว่า ผู้ที่วันนี้ กำลังบอกกล่าวกับประชาชนพลเมืองว่า ฝ่ายตนเป็นนักประชาธิปไตยนั้น แต่จริงแล้วก็เป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย
ระบอบทักษิณทำลายประชาธิปไตยอย่างไรก็ต้องขอทบทวน ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แค่เป็นหนทางเข้าสู่อำนาจรัฐ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ประชาธิปไตยของเขามีค่าเป็นแค่เครื่องมือ เป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อหาความถูกต้องชอบธรรมในการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง โดยเอาแต่อ้างหลักการเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่หลักการประชาธิปไตยนั้นยังต้องประกอบด้วยการรับฟังเสียงข้างน้อย การมีธรรมาภิบาล การต้องถูกตรวจสอบได้ ซึ่งคนพวกนี้ปฏิเสธหลักการดังกล่าวสิ้นเชิง
นอกจากนั้น ผู้นำรัฐบาลของเขาก็ไม่เคยเคารพ หรือมีส่วนร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ ตัวนายกรัฐมนตรีนั้นหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมประชุมชี้แจงอย่างเป็นนิจสิน ซึ่งเป็นการละเมิดหลักประชาธิปไตย และดูถูก ดูแคลนไม่ให้ความสำคัญกับระบบรัฐสภาประชาธิปไตย
อีกทั้งพฤติกรรมของประธานสภาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเอนเอียง ความไม่ตรงไปตรงมา และปล่อยให้เวทีสภาเป็นเรื่องการเล่นชั้นเชิง ปัดแข้งปัดขา ขวางกั้นการพิจารณา และขัดขวางโอกาสที่ประชาชนจะได้ร่วมรับฟัง
ส่วนบรรดาลิ่วล้อที่อ้างตนเป็นผู้แทนราษฎร ก็กลับกระทำตัวเหนือชาวบ้าน แอ๊กท่าเป็นเจ้าขุนมูลนายผู้ทรงอิทธิพล แล้วพวกมีวาสนาได้เป็นเสนาบดีต่างก็ตาโต น้ำลายไหล ใจเต้นแรง กับงบประมาณกระทรวง ทบวง กรม ที่รออยู่ข้างหน้า กอบโกยแบบมูมมาม แถมยังทวงบุญคุณกับประชาชนบางส่วนที่ได้เศษทานจากนโยบายประชานิยม ทั้งๆ ที่มันเป็นการเลือกปฏิบัติแท้ๆ เสมือนเอาเงินภาษีราษฎรไปใช้เยี่ยงเงินส่วนตัว
การบริหารราชการในเวลานั้น จึงเป็นเพียงเรื่องหาประโยชน์ใส่ตน เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และไร้ธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง จนประชาชนเขาอดรนทนไม่ได้
เมื่อมีคนอ้างประชาธิปไตยด้วยเสียงส่วนใหญ่ แล้วกลับมีพฤติกรรม บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำลายระบบรัฐสภา ทางออกเดียวของประชาชนผู้รักชาติ หวงแหนประชาธิปไตยก็คือ รัฐสภาสาธารณะบนท้องถนน
ซึ่งแทนที่รัฐบาลในขณะนั้น จะรับฟังแล้วนำไปแก้ไข กลับไปก่อตั้งกระบวนการต่อต้านที่ใช้สัญลักษณ์สีแดง ซึ่งบ่งบอกเป็นนัยตามพฤติกรรมที่แสดงออกตลอดมาว่า คนเหล่านี้เขาอยากเปลี่ยนราชอาณาจักรให้เป็น “สาธารณรัฐ”
ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเอือมระอาของสังคมไทย ที่มนุษย์ที่มีพฤติกรรมเลวร้ายแบบนี้ ยังกล้าทำหน้าด้านๆ มาบอกคนไทยว่า ตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
พวกนี้ ทำลายประชาธิปไตย ทำลายชาติ ทำลายศีลธรรมแล้ว ก็ไม่น่าจะมีสิทธิ์ไปกล่าวหาผู้อื่น เมื่อทำความเลวขนาดนั้นแก่ประเทศชาติได้ ก็คงมีจิตใจแสนจะดำ แสนจะทราม ซึ่งก็สมควรแล้วที่ต้องเผชิญกำลังของฝ่ายกองทัพ ซึ่งถ้าวันนั้น กองทัพไม่ออกมา ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดไปได้ เพราะยังต้องเผชิญกับพลังของพลเมือง
จะมั่นใจว่าได้กลับมา ก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าหลอกตัวเองต่อไปเลยว่าเป็นตัวแทนสังคมประชาธิปไตย มันน่ารังเกียจ และหากสังคมจะได้คนเหล่านี้กลับมาบริหารประเทศ ก็คงต้องทำใจว่าประเทศชาติเราคงมีเคราะห์กรรมหนัก ซึ่งถ้ากลับได้จริง แล้วยังคงมีพฤติกรรมมุ่งหน้าทำลายประชาธิปไตยเหมือนเดิม ก็เตรียมใจกันไว้ได้เลยว่า ครั้งนี้ พลังพลเมืองชาวไทยยกระดับขึ้นไปกว่าที่เคยได้พบมา
สิ่งที่ควรจะทำแทนการกล่าวหาคนอื่นก็คือ ยอมรับความผิดพลาด ขอขมาประชาชนพลเมืองต่อการกระทำอันสามานย์ต่างๆ แล้วก็อำลาจากเวทีการเมืองไปเสีย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี