ความขัดแย้งจากการเมืองการปกครองของประเทศไทยผ่านมา ๘๖ ปี ยังไม่มีทีท่าว่าปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี ที่ทำให้ประเทศแบ่งออกเป็นเหนือ-ใต้ เมื่อ ๗๐ ปีที่ผ่านมา มีทีท่าว่าเกาหลีพี่น้องปรองดองกันได้หลังจากผู้นำสูงสุดเกาหลีทั้งสองฝ่าย พบปะกันสองคราในเวลาสองเดือน
ความขัดแย้งในสังคมไทย เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คณะราษฎร ปล้นพระราชอำนาจเมื่อ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ สังคมไทยเกิดความแตกแยกขัดแย้งตั้งแต่สูงสุดถึงรากหญ้า คณะราษฎรขัดแย้งกันเองเมื่อผู้ก่อการบางกลุ่มเห็นว่าคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์มากเกิน บางกลุ่มเห็นเป็นเผด็จการมากกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บางกลุ่มเห็นว่ากำลังทำให้ประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์
ความขัดแย้งในคณะราษฎรแตกหัก เมื่อมีกลุ่มคนลุกขึ้นมากอบกู้ชาติแต่ล้มเหลวจึงกลายเป็น “ขบถวรเดช” หลังจากขบถประเทศไทยอยู่ยุคทมิฬ เมื่อฝ่ายชนะได้สร้างกองทัพตำรวจ ขึ้นมาปราบปรามกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม ผู้ที่สงสัยว่าเป็นเสี้ยนหนามทรราช ถูกตำรวจทมิฬจับขังคุกปล่อยเกาะตั้งแต่เจ้านาย นักการเมือง รัฐมนตรีตลอดถึงชาวบ้านที่รากหญ้า ด้วยคำขวัญว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เลขาฯ พรรคเสรีมนังคศิลา ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นหัวหน้า ถูกนักศึกษาประท้วงกล่าวว่าโกงการเลือกตั้งครั้งมโหฬาร ตำรวจเตรียมปราบปรามตามความถนัดเรื่องจับตายทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่ครั้งนั้นทำร้ายนักศึกษาไม่ได้เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกมาขัดขวาง เป็นเหตุให้ความขัดแย้งระหว่างตำรวจ ทหารบานปลายสุดท้ายจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ ๑๖ ก.ย. ๒๕๐๐ จอมพล ป. หนีทางช่องธรรมชาติไปกัมพูชา พล.ต.อ.เผ่าถูกเนรเทศไปสวิตเซอร์แลนด์ และเจ้าของวลี “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ไม่ได้กลับประเทศอีกเลย
หลังจากปฏิวัติ สภาวะรัฐตำรวจห่างหายไปหลายปี แต่ฤทธิ์เดชตำรวจยังหาหมดไม่ตราบใดมีนักการเมืองคุ้มหัว เดือนต.ค. ๒๕๑๙ ขณะที่นักการเมืองฝ่ายขวาปลุกระดมใส่ร้ายนักศึกษา นายตำรวจจอมซ่าบุกเข้าไปในที่ประชุม ครม.ชี้หน้าตำหนินายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก่อนที่เกิดเหตุสังหารหมู่ในธรรมศาสตร์เมื่อเช้ามืดวันที่ ๖ ต.ค. หลังจากสังหารหมู่ นศ.ทหารปฏิวัติประกาศกฎอัยการศึก ปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ รัฐตำรวจก็หายไปอีกครา จนถึงปี ๒๕๔๒ เมื่อทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่วงการเมือง
นายทักษิณ เป็นนักธุรกิจการเมืองที่ฟื้นฟูรัฐตำรวจขึ้นมาใหม่หลังจากห่างหายไปหลายปี เขาจัดการให้ตำรวจมีตำแหน่งสำคัญในทุกหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรงานอิสระ เป็น ตำรวจคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ เป็นรัฐมนตรี พูดง่ายๆ คือตำรวจอยู่ทุกซอกมุมอำนาจ ตำรวจยุคทักษิณทำให้คนตาย ๓,๐๐๐ กว่าราย ในสงครามยาเสพติด การซ้อมทรมานการอุ้มหายก็เกิดขึ้นในยุคนั้น
๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ ระหว่างเดินทางประชุมยูเอ็น ทักษิณมอบอำนาจ อดีตผบ.สตช.ที่เป็นรองนายกฯ มีอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉินและเป็นผอ.บริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน โชคดีที่ทหารประกาศยึดอำนาจตัดหน้า ตร.สมุนทักษิณจำยอมร่วมเป็นคณะปฏิวัติ ถึงแม้ถูกยึดอำนาจไปแล้วรัฐตำรวจภายใต้บารมีทักษิณยังไม่ล้มหายตายจาก มีตำรวจมะเขือเทศจำนวนมากจัดตั้งขึ้นมาจัดการกับฝ่ายต่อต้านทักษิณ
ในบรรดาตำรวจสองแสนกว่าคน อย่างน้อย ๗๐% รักเทิดทูนพร้อมทำทุกอย่างตามคำสั่งทักษิณ สังเกตได้ว่าผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลบริวารนายทักษิณ จะถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม เช่น กลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ ๗ ธ.ค. ๒๕๕๑ ที่ถูกถล่มด้วยระเบิด ปืน แก๊สน้ำตา บาดเจ็บล้มตายหลายราย แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปตรวจงานที่พัทยา ตร.เปิดสัญญาณไฟแดงกั้นรถให้คนเสื้อแดงรุมทึ้ง คนเสื้อแดงถล่มการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่พัทยา ขณะที่กำลังตำรวจมากกว่าผู้ชุมนุมหลายเท่า
คนเสื้อแดงคุกคามบ้านนายกฯ คุกคามข่มขู่ทำเนียบจน ครม. ต้องหนีไปอยู่ในค่ายทหาร หรือแม้แต่คราวที่คนเสื้อแดงหยามทหารที่ศูนย์ไทยคม บังคับให้ทหารลอดระหว่างขานายตำรวจใหญ่ยืนอยู่ข้างเสื้อแดงด้วย แต่พอ กปปส. ชุมนุมขับไล่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งระเบิดทั้งปืนทั้งแก๊สน้ำตา ยิงใส่ผู้ชุมนุม มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สร้างความสะใจให้ตำรวจ พฤติกรรมตำรวจ ในเวลาสิบปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าตำรวจถือฝ่ายรับใช้การเมือง
จึงกล่าวได้ว่าตั้งกรรมการปรองดองขึ้นมาเป็นร้อยคณะ ก็ปรองดองไม่ได้ตราบใดที่ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ตำรวจเป็นต้นน้ำกระบวนยุติธรรมมีทั้งปืน และกม.อยู่ในมือต้องเป็นกลาง ความปรองดองเกิดขึ้นเมื่อตำรวจไม่ถือฝ่ายไม่รับใช้การเมือง กรณีบุกจับพุทธะอิสระแบบอันธพาลถ่อยสถุลไม่เป็นคุณต่อการปรองดอง นอกจากตำรวจนักการเมืองทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไม่เอื้อต่อการปรองดอง
เช่น วันเสาร์ที่ผ่านมาหลังจากได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศว่า “ถ้าได้เข้าสภาสิ่งแรกที่ทำคือฉีกรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองที่ติดคุกในยุค คสช.ฯ เขายกประเด็นนี้ขึ้นมาแสดงว่าไม่อยากให้ปรองดอง เพราะนายธนากร รู้ดีว่าวิกฤติการเมืองทุกครั้งที่ผ่านมา เกิดจากปัญหาขัดแย้งรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่ประชาชนกว่า ๑๕.๖ ล้านคน ลงมติรับรอง เรื่องนิรโทษกรรมก็มีวาระซ่อนเร้นที่ชั่วร้ายเป้าหมายปล่อยตัวผู้ละเมิดกม.อาญามาตรา ๑๑๒ ยังมีเรื่องอีกมากที่พรรคอนาคตใหม่ กับพรรคเพื่อไทย มีนโยบายขัดขวางแนวทางปรองดอง จึงสรุปว่าการปรองดองทำไม่ได้ เพราะนักการเมืองไทยและผู้บังคับใช้กฎหมายยังไม่อำนวย
ลองมาดูแนวทางปรองดองของพี่น้องเกาหลี สองเดือนที่ผ่านมา คนทั้งโลกได้เห็นความคืบหน้าของสันติภาพและการปรองดองรวมชาติเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ วันที่ ๒๗ เม.ย. นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เจรจาหารือกับประธานาธิบดีมุน แจ อิน เป็นผลให้เกิดปฏิญญาปันมุนจอม ที่ว่าด้วยสันติภาพยั่งยืนและปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรอย่างสมบูรณ์
วลีเด็ดของนายคิม คือ “....เราทั้งสองล้วนเหมือนประเทศเดียวกัน เราเป็นพี่น้องกันสายเลือดเดียวกันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ และเราจะร่วมมือกันเพื่อสร้างสันติภาพ เราหวังว่าชาวเกาหลีทั้งสอง จะร่วมมือกันเพื่อความรุ่งโรจน์บนคาบสมุทรเกาหลี “โดยเราทั้งสองจะรับผิดชอบอนาคตของเราเอง...” ”
นายมุนกล่าวตอบว่า “ผมหวังว่าเราจะช่วยผลักดันสันติภาพให้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้เพื่อไม่ให้เกิดความล้มเหลวเหมือนในอดีต..... ผมหวังว่าท่านประธานจะช่วยผลักดันให้สันติภาพเป็นรูปธรรมก่อนผมหมดวาระ...” คำพูดของทั้งสองบอกถึงความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหากันเองมากกว่าให้สหรัฐอเมริกาชี้นิ้วสั่งการ
ดังนั้นที่ประธานาธิบดีทรัมป์ โวยวายทั้งขู่ทั้งปลอบว่าถ้าไม่ได้ซัมมิทกับนายคิม ในวันที่ ๑๒ มิ.ย. นี้เกาหลีเหนือต้องพินาศวอดวายคล้ายกับลิเบีย เป็นการพูดเองเออเองขู่เองกลัวเองทั้งนั้น เพราะตั้งแต่วันที่ ๒๗ เม.ย. เป็นต้นมา นายคิมไม่เคยพูดเรื่องพบปะกับนายทรัมป์ แม้แต่คำเดียว มีแต่พูดครั้งหนึ่งว่า “การข่มขู่ของอเมริกา คุกคามต่อความพยายามสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี” นายคิมพูดประโยคนี้ หลังจากนายทรัมป์กล่าวว่า จะกดดันอย่างรุนแรงที่สุดต่อไปจนกว่าเกาหลีเหนือจะปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์
นายคิมพูดอีกครั้งหลังจากพบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ครั้งที่สองว่า “เกาหลีเหนือไม่มีความจำเป็นที่จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป ตราบใดที่ได้รับประกันความปลอดภัยว่าไม่ถูกคุกคาม...” นายคิมกับนายทรัมป์ พูดเรื่องปลอดอาวุธนิวเคลียร์เหมือนกัน แต่คนละความหมาย “ปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี” ของนายคิมหมายถึงปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่อยู่บนเรือดำน้ำ อยู่ในฐานทัพ อยู่บนเครื่องบินรบและเครือข่ายนิวเคลียร์ของอเมริกันทั้งหมดบนคาบสมุทรเกาหลี แต่ความหมายของนายทรัมป์ คือ “ปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเพียงฝ่ายเดียว”
จึงทำนายว่านายคิมกับนายทรัมป์ ยากที่จะพบกันได้ในวันที่ ๑๒ มิ.ย. ถึงแม้ได้พบก็ไม่มีวันบรรลุข้อตกลงใดๆ นายคิมได้พบหรือไม่ได้พบกับนายทรัมป์ ก็ไม่ทำให้การปรองดองรวมชาติของเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ล่าช้าหรือยืดเวลาออกไปเพราะทั้งผู้นำเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ต่างมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี