กรณีศึกษาจาก‘สึก’เงินทอนวัดมาสู่การ‘สึก’เพิกถอนสิทธิการเมือง
ของสนช.และครม.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔
กรณีเงินทอนวัดของพระชั้นผู้ใหญ่บางรูปที่ถูกดำเนินคดีได้ถูกสึกไปแล้วตามกฎหมายคณะสงฆ์ แต่ตามพระธรรมวินัยที่มีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายของบ้านเมือง เมื่อมีไถยจิตเป็นโจรเบียดบังทรัพย์คือเงินทอนวัดที่เกินกว่าห้ามาสก (ประมาณ ๑ บาท) เป็นของตนก็เป็นเหตุ “ปาราชิก” ขาดจากความเป็นพระทันทีตลอดชีวิตมิต้องสึกแต่อย่างใดและไม่อาจมาบวชใหม่ได้
กรณี “ต้องสึกนี้เป็นไปตามกฎหมายคณะสงฆ์” พอเปรียบเทียบได้กับการถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด เรื่องการห้ามแปรญัตติตัดทอนงบประมาณรายจ่ายตามข้อผูกพันและการห้ามใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม และที่มีบทลงโทษในกรณีฝ่าฝืนตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ๒๕๖๐ จะมีผลให้สมาชิกสนช.และครม.ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บางคน อาจถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปตลอดชีวิตและยังต้องชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมดอกเบี้ยที่มีอายุความถึง ๒๐ ปี ตามมาตรา ๑๔๔ นี้
เมื่อพบเห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ผู้เขียนจึงได้รีบเตือนรวมทั้งมีข้อเสนอแนะไว้นานแล้วในหลายบทความหลังจากพบว่าในเอกสารของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. ๒๕๖๐ ที่จัดทำโดยสำนักกรรมาธิการ ๑ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา รวมเอกสารสำคัญ ๔ เล่ม และในเอกสาร เล่มที่ ๑ ที่ลงนามโดย นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ ถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ และรายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๕๖/๒๕๕๙ ประกอบคำแถลงปิดท้ายการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.๒๕๖๐ ของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๙ อันถือว่าอยู่ในข่ายเป็นข้อมูลในเอกสารมหาชนที่อ้างอิงเป็นพยานได้ว่าการกระทำของคณะกรรมาธิการวิสามัญและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกือบทั้งสภา รวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเจือสมกันแล้วแสดงว่าได้มีการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามแปรญัตติตัดรายจ่ายตามข้อผูกพันและนำรายจ่ายที่ตัดนั้นไปเพิ่มงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นโดยอนุมัติครม.และก็ได้นำมาจัดสรรให้ส่วนราชการต่างๆ นำไปใช้จ่าย
ตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาตั้งแต่ ๒๕๔๐, ๒๕๕๐ และฉบับใหม่ที่มีมาตรา ๑๔๔ บัญญัติไว้เช่นเดียวกันกับฉบับก่อนๆ นอกจากนี้ในฉบับ ๒๕๖๐ มีมาตรา ๑๔๔ ยังได้เพิ่มความรับผิดใหม่ขึ้นมาทั้งของสมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ของรัฐถ้ามีการฝ่าฝืนการใช้งบประมาณรายจ่ายจะต้องถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองไปตลอดชีวิต
ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และสนช. รีบดำเนินการแก้ไขหรือจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณปี ๒๕๖๐ ว่ามีส่วนใดที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญเสียก่อนประกาศใช้บังคับในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ และก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีผลใช้บังคับจะได้ไม่เกิดปัญหาที่แก้ได้ยากกับท่านนายกรัฐมนตรีและครม.ของท่านตามมาภายหลัง
แต่ทุกฝ่ายที่มีส่วนกระทำการที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและอาจจะต้องอยู่ในข่ายรับผิดในกรณีนี้ก็ไม่ไยดีที่จะดำเนินการแก้ไข แม้จะชี้แจงออกมาเป็นทางการว่าทำได้ไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามความเห็นของผู้เขียนก็ตาม เพียงแต่ซังกระตายยกร่างคำชี้แจงขึ้นมาร่างหนึ่งแต่สุดท้ายไม่กล้าที่จะโต้แย้งออกมาเป็นทางการ กลับถามว่า “เรื่องนี้…อาจารย์ปรีชาได้ความลับนี้มาได้อย่างไร?”
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความลับแต่ประการใดเลยเพราะข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลทั้งหลายอยู่ในเอกสารของสภาทั้งหมด เรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีสอบถามข้อเท็จจริงได้จากรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงการคลังรวมทั้งอดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังเป็นสมาชิกสนช.อยู่ และอยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญที่กระทำการขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามตัดลดรายจ่ายตามข้อผูกพันที่ไม่เคยมีสภาและครม.ในยุคใดเคยกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ห้ามไว้ชัดเจนอย่างนี้มาก่อนเลย
บัดนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ และมีมาตรา ๕ และ ๑๔๔ ที่เกี่ยวกับกรณีโดยตรงมีผลใช้บังคับหรือแผลงฤทธิ์กับการกระทำที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและโทษการฝ่าฝืนทันที
มาตรา ๕ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือ การกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
หมายเหตุ คำว่า “การกระทำ” เป็นข้อความที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ จึงเข้ากับการแปรญัตติที่ฝ่าฝืนขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้โดยตรง
มาตรา ๑๔๔ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการการเสนอ การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า หนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติ ตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณา วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล
ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา(ขณะนี้หมายถึงสนช.ที่ร่วมกันลงมติ) ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี (คือคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติและให้ผู้กระทำการดังกล่าว ต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย ......
การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในยี่สิบปีนับแต่ วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น......”
นี่แหละจึงเป็นเหตุสำคัญที่ทั้งสนช.และครม.ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญของตนเอง จึงต้องพยายามเลื่อนการเลือกตั้งออกไปให้ช้าที่สุดเท่าที่จะบิดเบือนหาเหตุผลต่างๆ นานา มาอ้างดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ เพราะถ้าสมาชิกสภาชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่เมื่อใด ก็สามารถเข้าชื่อกันได้หนึ่งในสิบทันทีและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อใด เมื่อนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีที่ร่วมมีมติ ก็หมดความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่ว่าคนนอก คนในจากพรรคใดก็ตาม เพราะมีพฤติกรรมดำเนินการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและไม่รักษาวินัยเกี่ยวกับเงินแผ่นดินอย่างชัดแจ้ง
จึงขอให้พรรคการเมืองและผู้ที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ไม่ว่าคนนอกหรือใน การตั้งพรรคใหม่ พรรคทหาร หรือดูดอดีตสส.เดิมจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเทศกาลการเมืองขณะนี้
ขอให้ไปอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ให้ดี เพราะมาตรานี้เขียนความรับผิดไว้ยาวมากหลายวรรคตอนบทบัญญัติใหม่อ่านยาก และจะเป็นโอกาสให้ เนติบริกรทั้งหลายบิดเบือนได้ว่าคณะครม.ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องรับผิด ผมจึงได้เปรียบเทียบกับกรณีเงินทอนวัดที่ต้องสึกทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่ “ปาราชิก” ไปแล้วตามพระธรรมวินัย
กรณีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ฉันใดก็ฉันนั้น)เมื่อสส.ของสภาชุดใหม่เข้ารับหน้าที่และหลังจากนั้นเข้าชื่อกัน 1 ใน 10 เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญว่ามีการกระทำของสนช.และครม.ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ในระหว่างนั้นท่านก็ตกเป็นบุคคลต้องห้ามแล้ว
ศาสตราจารย์ พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี