วันที่ 31 พ.ค.2561 มีข่าวแพร่สะพัดว่า เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มข้าราชการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) กรมประชาสัมพันธ์ อย่างหนัก ต่อนโยบายเร่งด่วนของพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่สั่งการให้ปรับผังรายการ สวท.ใหม่ ในการประชุมผู้บริหารกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2561 ที่ผ่านมา ที่ ให้ สวท.แม่ข่าย สวท. ภูมิภาค รับสัญญาณรายการ “คุยถึงแก่น” ซึ่งเป็นรายการเล่าข่าว ไปเผยแพร่ ต่อในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 06.30-08.00 น. และให้เลื่อนเวลารายการข่าวภาคเช้าของ สวท. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ จากเวลา 07.00-08.00 น. ไปเป็นเวลา 08.00-09.00 น. แทน โดยห้ามมีข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น และให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2561 เป็นต้นไป
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่า แม้จะมีการเลื่อนเวลาออกอากาศรายการข่าวภาคเช้าของสวท. จากเวลาเดิมเพียงแค่ 1 ชั่วโมง แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบตามมาอย่างมาก ทั้งเรื่องพฤติกรรมการรับฟังข่าวสารของประชาชน ที่คนในกรุงเทพฯ เคยรับฟังข่าวภาคเช้าขณะที่ขับรถไปทำงานในตอนเช้า เวลา 07.00-08.00 น. จะพลาดโอกาสไม่ได้รับข่าวสารเหมือนเดิม ส่วนคนในต่างจังหวัดจะหันไปฟังรายการเล่าข่าว ในช่วงเวลาเดียวกันจากคลื่นอื่นแทน เนื่องจากมีสำนวนลีลาในการเล่าข่าวที่ดีกว่า
แต่ที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุด คือ จุดยืนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารภาคเช้าของ สวท. ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่า มุ่งเน้นการนำเสนอข่าวสารที่เป็นกลาง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ช่วงเวลาในการนำเสนอข่าวดังกล่าว กำลังจะถูกแทนที่ ด้วยรายการเล่าข่าว ที่มีการใส่ความเห็นของผู้ดำเนินรายการเข้าไปประกอบด้วย และเป็นความเห็นด้านเดียวในฝั่งของรัฐบาลแทน ทำให้สิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได้รับผลกระทบโดยตรง
ขณะที่ นายไพฑูรย์ หิรัญประดิษฐ์ อดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และอดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ร่อนจดหมายเปิดผนึกแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจ
ออกมาทันที
“ผมขอเรียน ว่า รายการข่าวภาคถ่ายทอดของ สวท. ในเวลา 07.00-08.00 น. นั้น ไม่ได้นำเสนอเฉพาะในเครือข่ายของ กปส. เท่านั้น ความจริงแล้ว สถานีวิทยุเครือข่ายทหารและตำรวจทุกแห่ง เกาะสัญญาณข่าว สวท. ระหว่าง 07.00-08.00 น. เป็นประจำ ด้วยถือว่า เป็นข่าวสารของทางราชการ ขณะเดียวกัน ระบบเสียงตามสายของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ก็จะเกาะสัญญาณข่าวช่วงดังกล่าว จนถึงเวลา 08.00 น. จนกระทั่งเทียบเวลา ในเวลา 08.00 น. ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของสถานีวิทยุแห่งชาติ
การถ่ายทอดข่าวภาคเช้า จาก สวท. โดยเครือข่ายอื่นนั้น ด้วยถือว่า เป็นข่าวสารที่เป็นทางการ มีรูปแบบเชิงราชการ จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันมานาน โดยไม่มีข้อกฎหมายใดมาบังคับ
เมื่อ กปส. จะนำเสนอรายการคุยข่าวหรือเล่าข่าวแทน ก็จะทำให้ความเป็นทางการของ สวท. ในข่าวภาคเช้าสูญสลายไป แม้จะอ้างว่า สวท.ยังคงนำเสนอข่าวภาคเช้าในช่วง 08.00-09.00 น. แต่นั่น จะไม่มีผลทำให้ สถานีวิทยุเครือข่ายอื่นๆ รวมทั้งระบบเสียงตามสาย ไม่เห็นความจำเป็น ในการเกาะสัญญาณถ่ายทอดข่าวภาคเช้า และการเทียบเวลาเคารพธงชาติ อีกต่อไป ดังนั้น เพลงเทียบเวลาและเสียงเคาะส้อมเสียง ที่ฟังดูแสนเชยแต่ทรงมนต์ขลัง ที่จะดังพร้อมกันทั่วประเทศ ก็จะสูญสิ้นไปด้วย
ถ้าท่านทั้งหลายนึกภาพไม่ออก ให้ดูเวลาเคารพธงชาติของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ในเวลานี้ จะเห็นความเหลื่อมระหว่างแต่ละช่อง ทำให้ รายการ คืนความสุข ในช่วง 6 โมงเย็น ต้องเปิดสไลด์และขึ้นเพลงรอเพื่อให้เวลาการถ่ายทอดที่พร้อมเพรียงกัน ต่อไประบบสถานีวิทยุทั่วประเทศ ก็จะเป็นเช่นนั้น
ผมไม่แน่ใจว่า การนำรายการเล่าข่าวมาเสนอ ในช่วงเวลาที่ควรเป็นเวลาในการเสนอข่าวอย่างเป็นทางการนั้น ผู้บริหาร กปส. มีความคิดเช่นไร แต่อยากจะบอกว่า เวลา 07.00-08.00 น. ควรเป็นเวลาที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยควรเสนอข่าวสารอย่างเป็นทางการ”
ในเหตุการณ์ท่อนนี้ เราเห็นอะไรบ้าง
1) เห็นว่าคนในกรมประชาสัมพันธ์ “รับไม่ได้” กับการจะเปลี่ยนข่าว ช่วง 07.00-07.30 น. ซึ่งเป็น “ข่าวทางการ” ที่สุดของประเทศไทย เป็นข่าวที่วิทยุทุกคลื่นรับสัญญาณไปออกอากาศให้ฟรีๆ สถานีวิทยุชุมชน โรงเรียน หน่วยงานราชการ หมู่บ้าน และเสียงตามสายก็ออกอากาศไปจนกระทั่งเทียบเวลาตอน 08.00 น.
2) ข่าวช่วงดังกล่าวจึงไม่ใช่แค่ “ข่าว” แต่เป็น “ความคุ้นเคย” เป็น “ความเชื่อถือ” เป็น “วิถีชีวิต” และเป็น “เอกลักษณ์ของชาติ” ไปแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ “คนทุกสี” ทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค ทุกขั้วข้าง รับฟังได้โดยไม่แตกแยกแตกต่าง เป็นข่าวกลางๆ ไม่มีสีสัน ไม่กระทบอารมณ์ เป็นข่าวที่มีแต่เนื้อหาจริงๆ
3) การเข้ามาแตะ และออกคำสั่ง เปลี่ยนแปลง สิ่งที่คนได้ยินมาตั้งแต่เกิดและจำความได้ จึงไม่ใช่ “เรื่องเล็กๆ” ซึ่งในข้อนี้ต้องถามใจ พล.ท.สรรเสริญ ว่า ไปกินดีหมี หัวใจเสือที่ไหนมา หรือภาษาวัยรุ่นเขาเรียก “เกรียน” และต้องขอชื่นชมความกล้าของคนในกรมประชาสัมพันธ์ที่ไม่นิ่งนอนใจ ไม่เลยตามเลย ไม่เพิกเฉย ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ดูจากข่าวที่สำนักข่าวอิศรารายงานพร้อมภาพประกอบ มันเป็นข้อมูลจาก “คนใน” อยู่แล้ว
ต่อมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วย นายกิตติศักดิ์ กาญกล้า ผอ.สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงการปรับผังรายการวิทยุ ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย หรือสวท. ซึ่งมีกระแสข่าวว่าในวันที่ 1 มิ.ย.รายการภาคเช้าของ สวท.จะถูกปรับออกจากผังรายการว่า
จากสถานการณ์ปัจจุบัน มีข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก เรื่องเดียวกันสามารถสื่อสารเป็นคนละเรื่อง โดยเฉพาะสื่อโซเชียล ซึ่งมีทั้งข่าวจริงและไม่จริง โดยใช้วิธีการเล่าข่าว ส่วนข้อมูลข่าวสารของกรมประชาสัมพันธ์เป็นข่าวจริง แต่ไม่สามารถดึงดูดให้คนมาสนใจข่าวได้ จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการทำงานของกรมประชาฯ เพื่อให้ทันสถานการณ์ และตอบสนองความต้องการของประชาชน
พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศของกรมประชาฯ มองว่า ข่าวกรมประชาฯ แม้จะเป็นข่าวจริง แต่ขาดสีสัน รูปแบบนำเสนอไม่น่าสนใจ ผู้จัดรายการขาดทักษะ จืดชืด อยากให้ใช้เทคนิคนำเสนอที่น่าสนใจ คือ การเล่าข่าว ที่เป็นข้อมูลข้อเท็จจริง เปิดให้ประชาชนโทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็น มีส่วนร่วม จึงจะปรับเวลาข่าวของ สวท.โดยเชื่อมต่อสัญญาณรายการ “คุยถึงแก่น” ซึ่งเป็นรายการเล่าข่าว ที่แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที ในเวลา 06.30-08.00 น. เปลี่ยนเป็นเวลา 07.30-09.00 น. ทาง สวท. ทั่วประเทศโดยไม่บังคับสถานีวิทยุอื่นๆ
ขณะที่ข่าวภาคบังคับ เวลา 07.00-07.30 น. ยังมีตามปกติ โดยการปรับผังรายการใหม่ จะชะลอออกไปจากเดิมวันที่ 1 มิ.ย.เป็นวันที่ 15 ก.ค.2561 เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน และหารือกับ กสทช. ถึงรูปแบบ เนื้อหา รายละเอียด ข่าวภาคบังคับ โดยยืนยันไม่ใช่การถอย เพราะเมื่อจะปฏิรูปต้องกล้าหาญที่จะทำ โดยไม่ได้ขัดใจผู้ฟัง หรือตามใจผู้จัด
เอาละ มาวิเคราะห์กันต่อว่า ใน “สงครามข่าว” ที่ต้องแข่งขันกันอย่างทุกวันนี้ ในฐานะ “แม่ทัพ” ของรัฐบาล ที่ต้องเจอ “สงคราม” ทั้งภายในและภายนอก สิ่งที่ พล.ท.สรรเสริญ พึงต้องเข้าใจ มองเห็น และไปต่ออย่างหลักแหลมก็คือ
1) ภารกิจ เรื่องนี้ไม่ต้องกังขา พล.ท.สรรเสริญ แจ่มแจ้งในภารกิจ ที่จะต้องนำข้อมูล “ที่ถูกต้อง” และ “งานที่รัฐบาลทำ” ไปสู่กับรับรู้ของประชาชนให้ได้
2) เครื่องมือ ถามว่า “กรมประชาสัมพันธ์” เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดใช่หรือไม่ ตอบว่า ไม่ใช่ เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่รัฐมี แต่มันติดจารีตประเพณี และติดความเคยชินของข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ที่ไม่มีนิสัยทำงานเชิงรุก เพราะเขาอยู่กับความแปรผันของนโยบายในทุกยุคทุกสมัย จะมีองค์กรสื่อใดที่เปลี่ยนหัวหน้า เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนชื่อสถานี เปลี่ยนโลโก้ และเปลี่ยนทิศทางบ่อยเท่ากับกรมประชาสัมพันธ์ และในการเปลี่ยนแต่ละยุคนั้น เป็นอย่างมี “ภารกิจแฝง” คือ หาความนิยมด้วย
3) ในยุคที่นำแกนนำ นปช. เข้ามาทำรายการในช่อง 11 คือยุคที่เละเทะและสร้างบาปเวรให้แก่ชาติบ้านเมืองที่สุด ซึ่งโชคดีที่รัฐบาล คสช. ไม่เคย “ฉวยโอกาส” ทำเช่นนั้นมาตลอด 4 ปี คือ ไม่เอาคนของตนเองมาปลุกระดมสร้างความเชื่อเพื่อ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ความหมิ่นเหม่ต่อคำว่า ใช้สื่อเพื่อสร้างความเข้าใจอันดี กับเอาพรรคพวกของตัวเองมาใช้สื่อฟรีๆ พร้อมกับวาระแฝงเร้นทางการเมืองนั้น เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเชื่อว่า พล.ท.สรรเสริญจำแนกได้ และคงไม่พาองค์กรนี้ไปถึงจุดนั้น
4) อย่างไรก็ดี การถอยด้วยการเลื่อนไปก่อนนั้นดี มีเวลาให้คิด ให้ไตร่ตรอง ให้ปรึกษาหารือ หาความรอบคอบที่ดีที่สุดให้เกิดแก่ตน แก่กรมฯ และแก่ชาติบ้านเมืองให้ได้
5) เบื้องต้น ให้ พล.ท.สรรเสริญ และผู้เกี่ยวข้องมอง “ข้อดี” ของวิทยุ-โทรทัศน์ ของกรมประชาสัมพันธ์ให้ขาด ว่าอยู่ตรงที่ “คนไม่รังเกียจ” แม้ไม่ได้ “นิยมชมชอบ” จนมีเรตติ้งมหาศาล การที่คนไม่รังเกียจเป็นพื้นฐาน เพราะไม่นำไปใช้ในการเล่นพวก เล่นข้าง เล่นกีฬาสีนี้ดี เป็นช่องที่สะอาดพอจะใช้เป็นทางลำเลียงข้อมูลเข้าสู่การรับรู้ของคนโดยปราศจากอคติ
6) พล.ท.สรรเสริญต้องเข้าใจว่า กระบวนการของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการเสพสื่อนั้นมี 2 เรื่อง คือ รู้ (ข้อมูลที่คุณให้) และรู้สึก (กับทัศนคติ ข้อมูล และท่าทีของคุณ) ดูเหมือนเวลานี้ พล.ท.สรรเสริญ อยากเล่นกับความรู้สึก โดยมองด้านบวก คือ ความรู้สึกสนใจ แต่จงมองดูเครื่องมือที่ใช้ เช่น ตัวบุคคลที่นำเข้ามา ว่าเป็นเครื่องมือที่ไม่มีแรงต้าน (ซึ่งเป็นความรู้สึกด้านลบที่ห้ามลืมมอง) ทั้งจากคนในและคนดูจริงๆ หรือไม่
7) การผลิตสื่อในปัจจุบันชอบใช้ “สูตรสำเร็จ” กัน คือ ใช้ “ตัวบุคคลดึงความสนใจ” (หรือเรตติ้ง) ก็ต้องใช้ศัพท์โซเชียลที่ว่า “ฉิบหายกันมาเท่าไหร่แล้ว” ที่แต่ละช่อง “ซื้อตัว” เอาผู้ประกาศคนนั้น นักเล่าข่าวคนนี้ ไปประดับในช่องของตัว หวังว่าหน้าร้านของตัวเองจะมีสินค้า “แบรนด์เนม” ตั้งโชว์
8) ศักยภาพของกรมประชาสัมพันธ์คือ “เครือข่ายที่ครอบคลุม” ทั่วประเทศ ใครมีเครือข่ายเท่ากรมประชาสัมพันธ์บ้าง ถามหน่อย และการใกล้ชิดแหล่งข่าวตัวจริง คือคนในรัฐบาลและข้าราชการที่ทำงานอยู่ในทุกกระทรวง ทบวง กรม แต่สิ่งที่ขาดคือ ผู้บัญชาการกองทัพนักข่าว บุคลากร และเครือข่าย และคนที่จะนำข้อมูลที่ส่งตรงมาจากเครือข่ายเหล่านั้น มา “ปรุง” ให้เป็น “ข่าว” เป็นรายงานพิเศษ” เป็นประเด็น “เจาะลึก” เป็น Think Tank ให้คนหน้าจอและหน้าไมค์ลำเลียงไปสู่การรับรู้ของคนดูคนฟัง ซึ่งจะเป็น “ความแตกต่าง” ในเรื่อง “ข้อมูลอันทรงพลัง” ลองสนุกกับการชนะด้วยข้อมูลที่ตนเองได้เปรียบ และผ่อนการเล่นใน “เกมถนัดของคนอื่น” คือแข่งขันกันที่ “คนเล่าข่าว” ลงบ้างไหม
9) ข่าวเช้าช่อง 7 มีเรตติ้งดีมาก ไม่ใช่เพราะคนเล่า ไม่ใช่เพราะอรรถรสในการ “นั่งคุยข่าว” แต่เพราะการลำเลียงข้อมูลมาสู่ผู้ชมที่กระชับ ฉับไว ได้ใจความ เสนาะโสต มีภาพประกอบที่ดี ไม่มีทัศนคติปนเปื้อนในข้อเท็จจริงที่รายงาน และครอบคลุมในหมวดข่าวต่างๆ แทรกแซมด้วยการสร้างเสน่ห์ของตัวบุคคลเสริมเข้ามา จนคนคนนั้นมีช่วงเวลาของตนที่จะรายงานอะไรก็ได้ เช่น อนุวัต
เฟื่องทองแดง เป็นต้น โมเดลนี้ควรนำไปใช้กับสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ที่จะใช้ “ข้อมูล” เป็นจุดแข็งและจุดขาย
10) เพียงแต่ว่า ก็เป็นไปตามที่ พล.ท.สรรเสริญ กล่าวมาส่วนหนึ่งนั่นแหละ ว่า บุคลากรของกรม บางทีก็เฉื่อยแฉะไป เพราะอยู่ในบรรยากาศของการ “รับคำสั่ง” มากกว่า “สร้างสรรค์เพื่อแข่งขัน” ดังนั้น ควรกระตุ้นให้เขามีใจที่จะพลิกโฉมการลำเลียงข้อมูลอันมหาศาลที่มี มาสู่ผู้ชมให้ต่างไปจากช่องอื่นๆ ไม่ใช่ไปทำให้เหมือนเขา ซึ่งคุณไม่มีวันสู้เขาได้
11) สุดท้ายจึงมาจบที่การคิดใช้ “เครือข่ายครอบคลุม” มัดมือคนดูคนฟังนั้น เป็นการ “คิดผิด” อย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เห็นหรือครับ ว่ามันล้มเหลวมาก กับรายการเดินหน้าประเทศไทย และรายการศาสตร์พระราชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณมัดสัญญาณทุกคนรวมกัน ให้ถ่ายทอดรายการของคุณได้ แต่ไม่เคย “มัดใจ” ให้เขาดู เขาสนใจ และนิยมชมชอบได้เลย แล้วคุณจะทำอย่างนี้ในช่วง 07.00-08.00 น. ให้คนหนีจากคุณไปอีกทำไม สู้คุณใช้เวลาช่วงนั้น พิถีพิถันกับเรื่องที่คุณอยากเล่า อยากประกาศ ผ่านผู้ประกาศที่โคตรเป็นทางการนั้น จะดีกว่าไหม
12) พล.ท.สรรเสริญ ไม่ควรไปแตะเวลาช่วง 07.00-08.00 น. เลย ให้มันเป็นไปตามจารีตประเพณีที่ทำกัน ให้คนทั้งประเทศฟังมันได้จนถึงเทียบเวลา 08.00 น. ส่วนก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้นจะทำอะไรก็ทำเลย ผนึกกำลังของคนใน ผสานกำลังของคนนอก ลุยแหลก โดยวัตถุประสงค์ต้องไม่หลุดไปจากคำที่ว่า “นำความจริงแท้ สู่การรับรู้ของประชาชน” เพื่อสู้กับข่าวเท็จ ข่าวปลอม และทัศนคติที่ทำให้การรับรู้ของคนบิดเบือนไป เพี้ยนไป และใช้การผลิตเนื้อหาตรงนี้เป็นวัตถุดิบสู้ การตัดแต่ง แล้วปล่อยเข้าสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ ต่อไป คือผลิตเนื้อหาครั้งเดียว แต่แปลงไปใช้งานในแพลตฟอร์มอื่นได้อย่างคุ้มค่า เปิดเกมรุกในข้อมูลที่ถูกต้อง ดีกว่ามานั่ง “แก้ข่าว” ในเวลาที่คนอื่นเขาปล่อยข่าวผิด ข่าวคลุมเครือ ข่าวบิดเบือนออกไปแล้วจะดีกว่า
จงเอาข้อได้เปรียบของการเป็นโฆษกรัฐบาล และรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ให้เกิด “สื่อทางเลือก” สำหรับคนที่เบื่อ “อารมณ์” และ “สีสันที่เกินขอบเขต” มารับข้อมูลข่าวสารที่มั่นใจว่าเป็นทางการ เป็นความจริง ไม่เติมแต่ง ลึกและกว้าง มาจาก “แหล่งข่าวตัวจริง” ในเรื่องนั้นๆ จะดีกว่า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี