ประเทศไทยมีคนบวชเป็นพระมากกว่า 2 แสนคน เช่นเดียวกับมีคนเป็นตำรวจมากกว่า 2 แสนคน
ทั้งพระและตำรวจ คือผู้มีอำนาจ
“พระ” แต่งเครื่องแบบ ห่มผ้าสีเหลือง โกนผม โกนคิ้ว สมมติว่าจะเป็นผู้สืบทอดความดีงาม ความถูกต้องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระจึงได้รับศรัทธา เคารพนับถือ ไว้ใจ จากผู้คนที่เห็นเครื่องแบบพระ ความเชื่อถือศรัทธา จึงกลายเป็น “อำนาจ” แบบหนึ่ง ที่มีต่อคนในสังคม แม้ผู้เพิ่งจะบวชก็พลอยได้รับความเชื่อถือ ศรัทธาที่เป็น “อำนาจ” ไปด้วย
“ตำรวจ” แต่งเครื่องแบบ นุ่งห่มสีกากี สมมติให้เป็นผู้รักษากฎหมาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตัวแทนของความยุติธรรม เป็นผู้มี “อำนาจ” ตามกฎหมาย
แต่ทั้งพระและตำรวจที่มีจำนวนพอๆ กัน เกิดปัญหา เป็นปัญหาแก่สังคม จึงมีผู้เรียกร้องกันทั้งประเทศ
ให้สังคายนา ปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ องค์กรตำรวจและองค์กรสงฆ์ ทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ระบบ และตัวคน
โครงสร้างการบริหาร ก็มีปัญหาคล้ายกัน ทั้งพระและตำรวจ
1. อำนาจการบริหารกระจุกตัวอยู่ส่วนกลาง
2. มีการวิ่งเต้น สินบนโยกย้าย เพื่อจะได้ยศตำแหน่ง
3. มีผลประโยชน์จากอำนาจ พระก็ได้ผลประโยชน์จากศรัทธาความเชื่อ ตำรวจก็ได้ประโยชน์จากการเป็น
ผู้รักษากฎหมาย
พระเลว ตำรวจชั่ว จึงมีเต็มบ้านเต็มเมือง อาศัยกิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเอา เป็นของตัวเอง ซ่อนอยู่ในเครื่องแบบและ“อำนาจ” ของตน
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารและองค์กร ทั้งของตำรวจและพระ แม้จะจำเป็น แต่ก็คงจะไม่เพียงพอ
ถึงเวลาที่จะต้องสังคายนาบุคคลที่เป็นพระ หรือตำรวจของเราเสียใหม่ ดังพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ความว่า
“....ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...” (พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512)
สังคมไทยจำเป็นต้องคัดคนก่อนบวช ไม่ใช่ใครบวชก็เป็นพระได้
เช่นเดียวกับตำรวจ ก็ต้องมีการคัดสรรคนที่ดี
สังคมไทยจำเป็นต้องไล่คนที่บวช แล้วไม่รู้จักเรียน ไม่ปฏิบัติ ไม่หาทางปลดทุกข์ ออกไปจากการเป็นพระ เช่นเดียวกับตำรวจเลวที่ไม่ตั้งใจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ต้องถูกไล่ออก
ผู้ที่บวชเป็นพระในสมัยนี้ เขามาบวชเพื่ออะไร?
เราได้ยินกันมากว่า
ประเภทที่ 1 บวชตามประเพณี บวชทดแทนบุญคุณ บวชหน้าไฟ บวชก่อนแต่ง บวชล้างซวย บวชหนีปัญหา บวชการเมือง บวชเพราะไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร บวชเพื่อความบันเทิง เห็นเขาบวชก็บวชบ้าง เป็นการแสวงหาความเพลิดเพลิน เพราะความเกียจคร้านของตน ฯลฯ
ประเภทที่ 2 บวชเพื่อสะสมทรัพย์สมบัติ เงินทองให้ตนเอง ญาติพี่น้องและพรรคพวก (เพราะวัดมีทรัพย์สิน มีรายได้ มีศรัทธาความเชื่อจากผู้คน จึงแปลงเป็นทุนให้ตนเองและพรรคพวกได้)
ประเภทที่ 3 บวชเพื่อเรียนรู้ถึงพระธรรมวินัย พุทธปรัชญา พุทธธรรม และฝึกปฏิบัติเพื่อลดกิเลส และหนทางปลดทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่น
น่าศึกษาว่า พระในปัจจุบัน บวชในประเภทที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 มากน้อยแตกต่างกันเท่าใด?
ทำไมจึงได้ยินคนชอบพูดกันว่า คนที่บวชจำนวนไม่น้อย คือ
“คนอกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เลื่อมใส ไข่ตาย”
และทำไมจึงได้ยินคนล้อเลียนพระจำนวนมากในสมัยนี้ว่า
“เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด”
ต่อไปอาจจะมีคนแต่งกลอนไปถึง ยักยอก เงินทอน สะสมทรัพย์ ฯลฯ ก็ได้
แต่แน่นอนที่สุด การบวชที่ควรอนุโมทนา คือ ประเภทที่ 3 บวชเพื่อเรียนรู้ เพื่อปฏิบัติ เพื่อหาหนทางปลดทุกข์ให้ตนเองและผู้อื่น
ส่วนการบวชในประเภทที่ 1 แม้จะไม่ใช่การบวชที่ถูกต้อง แต่ก็ยังมีความจำเป็นสำหรับสังคมไทยสมัยนี้ ที่อาจจะต้องมี แต่เมื่อบวชแล้ว จะทำอย่างไรให้ใช้เวลาที่บวชได้ศึกษาเรียนรู้ ถือเป็นโอกาสที่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคน ถือโอกาสที่ได้มีกลุ่มบุคคลที่ถูกผูกล่ามด้วยประเพณี ความต้องการผิวเผิน ให้ได้เปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด ซึ่งแน่นอน จะต้องอาศัยพระอุปัชฌาย์ และพระพี่เลี้ยง ที่จะต้องกำกับทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด
โดยสรุปแล้ว
1. เมื่อผู้ที่จะบวชมีวัตถุประสงค์ ความต้องการที่หลากหลาย จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการ “คัดคน ก่อนบวช” ซึ่งต้องมีขั้นตอน การสอบทาน การใช้เวลาทำความเข้าใจก่อนบวช และไม่ควรคิดว่า ใครจะบวชต้องได้บวช ซึ่งก็มีบางวัดดำเนินการอยู่บ้างแล้ว แต่ยังมีน้อยเกินไป
2.การคัดคนก่อนบวช จะต้องตระหนักถึงประโยชน์ของการบวชในทางสังคม คือ การบวชเป็นการเปลี่ยนผ่านสถานภาพของคนในสังคม ให้เปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่น เช่น การบวชเมื่อจะเปลี่ยนสถานะจากตนโสดไปเป็นคนแต่งงาน, การบวชเมื่อออกจากคุก จะได้เปลี่ยนสถานะเป็นคนดีในสังคมง่ายขึ้น, การบวชเมื่อจะเปลี่ยนสถานะทางการเมือง จากนักการเมืองเป็นคนธรรมดา เป็นต้น แต่ทั้งนี้ ต้องให้ผู้บวชได้โอกาสเรียนรู้พุทธธรรมเพื่อใช้ดำรงตำแหน่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป
3. พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง จะต้องทำงานร่วมอย่างใกล้ชิด เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ญาติโยมจะหวังให้พระบวชใหม่รู้ความจริง รู้ธรรมด้วยตนเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้
การที่พระอุปัชฌาย์ไม่ทำหน้าที่ จึงมีพระที่ตีความพุทธธรรม พุทธวินัย เลอะเทอะไปตามจริตของตนเอง เช่น นั่งสมาธิเห็นลูกแก้ว ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น
4. ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้ผู้บวชใหม่และพระเก่าอย่างเหมาะสม ไม่ให้พระยุ่งเกี่ยวกับเงินและทรัพย์สมบัติของวัด ถือเป็นกิเลสหรืออสรพิษตามพุทธวินัย แต่ให้ฆราวาสรวมกันเป็นคณะกรรมการดูแลทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด รวมถึงเงินบริจาคจะต้องไม่มีเข้าพระเป็นการส่วนตัว ทั้งหมดคือทรัพย์สินเงินทองของส่วนกลาง
5.จะต้องหามาตรการในการปกป้องพระที่จะได้รับกิเลสจากสื่อ ทีวี วิทยุ และสื่อสังคมออนไลน์สมัยใหม่โดยเฉพาะ เพราะสื่อพวกนี้ต้องอาศัยการยั่วยุให้คนบริโภค อยากได้ อยากมี อยากเอา เพื่อจะได้โฆษณาขายสินค้า แม้แต่ภาพโฆษณาเสื้อยกทรง กางเกงใน ก็ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระหนุ่มเณรน้อย ในบทพูด บทแสดง ก็มีหลายอย่างที่ทำให้กิเลสของพระฟูฟ่อง
ยิ่งโซเชียลมีเดียในปัจจุบันที่เข้าถึงพระ โดยผลิตและส่งคลิป รวมถึงข้อความยั่วยุให้บริโภคอย่างกระเจิดกระเจิง
6. ต้องสร้างระบบสอบทานความเข้าใจ ความก้าวหน้าในความรู้ความคิด เช่นเดียวกันกับนักวิชาการที่ต้องทำวิจัย ค้นคว้า สัมมนาปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตลอดเวลา
7. ต้องมีการ “สอบไล่” คัดออก พระที่ไม่ตั้งใจที่จะบวชเพื่อเรียนรู้ เพื่อปฏิบัติให้พ้นทุกข์ แต่อาศัยผ้าเหลืองหากิน ให้ออกไปเป็นฆราวาส ทำมาหากิน ช่วยสังคมผลิตเพื่อความก้าวหน้าของประเทศ
ดังเช่นการสอบไล่ จับสึกพระในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่เคยมีมาแล้ว
ปัจฉิมปุจฉา
เมื่อพระและตำรวจมีอำนาจ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว การคัดคนดีให้มีอำนาจ และคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ใครมีข้อคิดความเห็นว่าจะคัดคนให้เป็นตำรวจและขจัดคนเลวไม่ให้เป็นตำรวจ (มีอำนาจ)อย่างไร ช่วยแลกเปลี่ยนด้วยครับ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี