สี่ปีที่ผ่านจากการรัฐประหาร เป็นสี่ปีที่ “พลาดโอกาส” และ “พลาดเป้า” ที่ต้องการในหลายๆเรื่องที่ประชาชนอยากให้มีการแก้ไข ทั้งๆ ที่มีโอกาสเต็มที่ในการทำงานภายใต้อำนาจที่มีอยู่อย่างเบ็ดเสร็จ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายในขณะนี้
โดยเฉพาะความเห็นของ “ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร” อาจารย์ประจำหลักสูตร คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่เขียนไว้ในหนังสือ “นโยบายพลังงาน” และส่งมาให้ผมอ่านเมื่อเร็วๆ นี้
ขอสรุปเรื่องดังกล่าวที่สำคัญๆ ให้ได้รับฟังกัน ดังนี้
“ถ้าจะถามว่าในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา การเมืองและเศรษฐกิจไทยเป็นแบบไหน เมื่อพินิจพิเคราะห์เนื้อหาของ “รัฐไทย” จะเห็นว่า “อำนาจรัฐไทย” เป็นอำนาจรัฐสามประสาน ประกอบด้วย “รัฐราชการ - นายทุน - ขุนศึก” หรือ “ทหาร+ทุน+ราชการ” นั่นเอง คนเหล่านี้จะเข้าไปเป็นกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดเพื่อเป็นแผนแม่บทหลักของการพัฒนาประเทศ ยาวนานถึง 20 ปี จะนั่งคร่อมแผนพัฒนาฯ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งยาวนานถึง 20 ปี ดูทะแม่งพิลึกพิลั่นชอบกล
คงเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับเดียวในโลกปัจจุบัน ที่มีระยะเวลายาวนานที่สุด แถมยังไปทั้งบีบและรัดคอรัฐบาลหลังจากนี้ที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดีมีเสียงโจษจันไม่น้อยว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ 2560 เสียอีก ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560เขียนพลิกพลิ้ว ล็อกสเปกเพื่อสืบทอดอำนาจ เอื้อประโยชน์ให้ทุกประตูหรือไม่
ทิศทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในมือของกลุ่มทุนรายใหญ่
เพียงไม่กี่รายควบคุมเศรษฐกิจสาขาใหญ่ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบผลิตอาหารเกษตรกรรม ระบบที่อยู่อาศัย บ้าน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ระบบการเงิน การธนาคาร ระบบค้าปลีก ค้าส่ง และระบบพลังงาน เป็นต้น
ด้านเศรษฐกิจมหภาค นโยบายก็ได้ให้น้ำหนักโครงการขนาดใหญ่ หมื่นล้านแสนล้าน เป็นสรณะ หากจัดการไม่ดีก็จะสร้างภาระหนี้สินในอนาคต ขณะที่เศรษฐกิจชาวบ้าน คนเดินดินกินข้าวแกง ต้องกินอาหารราคาแพง กำลังซื้อของคนชั้นกลางและชั้นล่างย่ำแย่ ย่ำแย่กว่าช่วงรัฐประหารปีแรกๆเสียอีก
แย่ลงทั้ง “คอร์รัปชั่นและความเหลื่อมล้ำ”
ในปี 2557 ความเหลื่อมล้ำในเมืองไทยติดอันดับ 6 ของโลก หลังจากนั้นในปี 2559 แย่ลงอีกเลื่อนเป็นอันดับ 3 ในบรรดาประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก
ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นในโลก ในปี 2559 ไทยได้คะแนนลดลง ได้แค่ 35 คะแนนจาก 100 คือสอบตก อยู่ในอันดับ 101 ขณะที่ปี 2558 อยู่อันดับ 76
สรุปตัวเลขจากมุมมองของสากล แย่ลงทั้งเรื่องคอร์รัปชั่นและเรื่องความเหลื่อมล้ำ ภายใต้การบริหารงานของผู้มีอำนาจขณะนี้
สามสี่ปีที่ผ่านมา นโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจสำคัญๆ ไม่ได้ยึดหลักคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช้หลักความรอบรู้ทางวิชาการอย่างเพียงพอ รอบคอบ และระมัดระวังในการตัดสินใจ ไม่ใช้หลักการแห่งคุณธรรม และหลักธรรมาภิบาล ที่ตรวจสอบได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง รวมทั้งไม่สร้างภูมิคุ้มกันรองรับ อาจนำไปสู่หนี้มหาศาล กลายเป็นวิกฤตการณ์หนี้สินอย่างที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต
ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนของไทย มากเป็นอันดับต้นๆของเอเชีย และเป็นลำดับ 3 ของโลก
หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 การใช้อำนาจและกลไกต่างๆ ของรัฐในการกำหนดนโยบายสาธารณะ เปิดทางให้คนได้เปรียบในสังคมฉกฉวยโอกาส เอาประโยชน์จากคนที่อ่อนด้อยกว่า ทำให้ประชาชนจำนวนมากเป็นคนด้อยสิทธิ ขาดสิทธิ ขาดโอกาส นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำซ้ำซาก
โอกาสที่เศรษฐกิจฐานรากถูกคุกคาม ถูกควบคุม โอกาสเข้าถึงทรัพยากรถูกกีดกัน หากินไม่พอ แต่กลุ่มทุนใหญ่ เจ้าสัว/ต่างชาติ ปลอดโปร่งโล่งตลอด อิ่มจนเรอ
รัฐใช้อำนาจและกลไกรัฐพรากสิทธิเพื่อนำเอาทรัพยากรและที่ดินของรัฐ ไปให้เอกชนและต่างชาติเช่าในราคาค่าเช่าถูกมากในระยะยาว 99 ปี นโยบายให้จีนระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง นโยบายจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ ซึ่งนโยบายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่กระทบต่ออาชีพและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อนิเวศวิทยาชุมชน
อย่างนี้แล้ว การปฏิรูปประเทศเพื่อมุ่งสู่ “ความมั่นคง ความมั่งคั่ง และยั่งยืน” จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้อย่างไร
การบริหาร การพัฒนา ผิดทิศผิดทาง
ประชาชนถูกทำให้ไม่มีส่วนร่วมในกระบวนพัฒนา
รัฐมักจะบ่นว่าทำอะไรก็เอาแต่คัดค้าน ซึ่งอันที่จริงแล้ว หากรัฐบาลกำหนดนโยบายสาธารณะ ทำโครงการที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ตลอดจนไม่ทำนโยบายเพื่อนายทุนใหญ่เป็นหลัก ประชาชนก็จะสนับสนุน
รัฐบาลนี้เป็นรัฐราชการ ฟังแต่ราชการ ไม่ฟังเสียงประชาชน กีดกัน ปิดกั้น การมีส่วนร่วมของประชาชน จึงได้ข้อมูลด้านเดียว การออกกฎหมายและการบริหารที่ไม่รอบคอบ ไม่รอบด้าน และประสบกับปัญหาอยู่เนืองๆ ต้องใช้อำนาจพิเศษ ม.44 อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งประชาชนไม่อยากให้รัฐบาลละเลยการปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ บริหารงานโดยหลักนิติรัฐ นิติธรรม ด้วยความรับผิดชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องอย่างนี้ก็ยากที่ประชาชนจะศรัทธาเชื่อถือ
(อ่านต่อวันศุกร์)
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี