ขณะที่การเจรจาสันติภาพ เพื่อการปรองดองรวมชาติของพี่น้องเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยความอยากรู้ว่าคนเกาหลีเหนือแปรพักตร์มีทัศนคติอย่างไรต่อบ้านเกิดของพวกเขา ได้ซื้อหนังสือเรื่อง In Order to Live มาอ่าน หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Yeonmi Park สาวเกาหลีเหนือผู้หนีออกมาจากบ้านเกิดในชนบททางภาคเหนือติดกับชายแดนจีน อ่านหนังสือเล่มนี้จบอัญชลีพร กุสุมภ์ ผู้ประกาศข่าวทีวีมอบหนังสือเรื่อง Burmese Days เขียนโดย George Orwellมาให้เป็นอาหารสมองอีกหนึ่งเล่ม
หนังสือเรื่อง Burmese Days พิมพ์ครั้งแรกในปี 1913 ส่วนเรื่อง In Order to Live พิมพ์ครั้งแรกในปี 2015 นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เวลาต่างกันเกือบร้อยปี แต่นักเขียนทั้งสองได้นำเสนอข้อมูลที่คล้ายคลึงกันว่า คนที่ชิงชังและทรยศต่อสังคมประเทศชาติตัวเองนั้น ส่วนใหญ่มีรากเหง้ามาจากต้นตระกูลที่ทรยศขบถสังคม เมื่อทบทวนดูถึงสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในห้วงเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา พบว่าหัวขบวนของผู้ทรยศชาติ อาฆาตสถาบันนั้นมาจากรากเหง้าของตระกูลที่เคยเป็นขบถอั้งยี่ ที่สืบทอดสายเลือดขบถจากรุ่นปู่มาสู่รุ่นหลานและมีทีท่าจะลามไปถึงรุ่นเหลน
หนังสือเรื่อง “In Order to Live” ยีฮองมิ พาร์ค เปิดฉากด้วยการเล่าเรื่องที่เธอกับแม่ หนีจากเมืองฮเยซัง เมืองชายแดนทางภาคเหนือของประเทศเกาหลีเหนือ ติดชายแดนจีน ที่มีเพียงแม่น้ำ Yula กั้นเขตแดน แม่ของเธอติดสินบนตำรวจตรวจชายแดนด้วยเงินสองร้อยหยวน เหมือนกับที่ผู้หลบหนีออกจากประเทศทำกันอยู่เป็นประจำ เธอบรรยายถึงความยากลำบากในการหลบหนีที่แม่ของเธอถูกเจ้าหน้าที่จีนข่มขืนเมื่อถึงฝั่งแม่น้ำของประเทศจีน
พาร์ค ได้บรรยายภูมิหลัง ว่าเมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลี ปู่ของเธอเป็นพนักงานบัญชีในคลังยุทธปัจจัยญี่ปุ่น ส่วนย่าทำงานในโรงงานเย็บเสื้อผ้าทหาร หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามและโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาจัดการแบ่งเกาหลี เป็นเหนือ ใต้ ปู่ของเธอยังมีบารมีอยู่จัดการให้ลูกชายซึ่งเป็นพ่อของเธอรับช่วงเป็นพนักงานบัญชีในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ของเธอเป็นพนักงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า
ครอบครัวเธอถือว่าดีกว่าหลายๆ ครอบครัวในชุมชน แต่ถ้ามองข้ามแม่น้ำไปพบว่าคนจีนเจริญกว่ามีความเป็นอยู่สุขสบายกว่าและเมื่อได้ดูวีดีโอ ดูภาพยนตร์ที่พ่อของเธอลักลอบนำมาฉายดูในบ้าน ความเป็นอยู่ในเมืองฮเยซังกับในประเทศจีน ในเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาต่างกันราวฟ้ากับเหว ในเกาหลีใต้มีเสรีภาพ มีทีวีมีดนตรี ความฟุ้งเฟ้อที่ได้เห็นจากโฆษณาชวนเชื่อผ่านวีดีโอ กระตุ้นให้พ่อของเธอหารายได้เสริมด้วยการค้าของเถื่อนในตลาดมืด จากการค้าเพื่อหารายได้เสริม เขาเปลี่ยนมาค้าของเถื่อนเป็นอาชีพหลักและต้องมาเช่าที่พักอยู่ในเมืองเปียงยางเมืองหลวงของประเทศครั้งละหลายเดือน
ระหว่างอยู่ในเปียงยางพ่อของเธอมีเมียน้อย ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าของห้องเช่า เมื่อความแตก ครอบครัวเริ่มระหองระแหงและสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อพ่อของเธอถูกจับในฐานละเมิดกฎหมายหลายกระทง แม่ของเธอเป็นผู้รับผิดชอบภาระในครอบครัวคนเดียว ครอบครัวเริ่มขัดสน เมื่อต้องจุนเจือพ่อที่ติดคุกและอาการป่วยก็รุนแรงขึ้น ถึงตอนหนึ่ง พาร์ค ได้วิจารณ์ระบอบเผด็จการอย่างรุนแรง เธออ้างว่า คุณย่าเล่าให้ฟังว่านายคิม อิล-ซ็อง ปู่ของคิม จอง-อึล บิดาแห่งเกาหลีเหนือความจริงแล้วไม่ได้เกิดที่เทือกเขาแพรกตู แต่เกิดในโซเวียต และในสงครามขับไล่ญี่ปุ่นคิม อิล-ซ็อง ก็ไม่เคยอยู่ในสนามรบมีแต่ทหารโซเวียตเท่านั้นที่รบกับญี่ปุ่นและอเมริกา อ่านหนังสือจบทั้งเล่มทำให้รู้ว่า เนื่องจากเธอมีรากเหง้ามาจากครอบครัวที่รับใช้ญี่ปุ่นผู้ยึดครอง และมีอคติกับรัสเซียผู้อุปถัมภ์ราชวงศ์คิม ประกอบกับติดตามโฆษณาชวนเชื่อจนฝังหัวทำให้เธอต้องหนีออกจากบ้านเกิด แล้วเขียนหนังสือโจมตีบ้านเกิดตัวเองตามโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกา
ส่วนหนังสือเรื่อง Burmese Days นั้น Orwell ได้บรรยายถึงความทะเยอทะยานของคนพม่าและคนอินเดีย ที่ภักดีต่ออังกฤษ คนพวกนี้ทำทุกอย่างใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางให้เป็นที่ยอมรับของอังกฤษผู้ยึดครองและเป็นนายเหนือหัว Orwell ยกเอาเมือง “คะยอกตาดา” เป็นฉากละครว่า คะยอกตาดาเมืองภาคเหนือของพม่าที่บริษัทอังกฤษ-อินเดีย ตั้งสถานีการค้า ในเมืองคะยอกตาดา มีข้าราชการและลูกจ้างบริษัทอีสต์อินเดีย เป็นคนอังกฤษอยู่ 15 คน คนผิวขาวผู้เป็นนายเหนือหัวจะไม่สุงสิงกับคนท้องถิ่นที่พวกเขาเรียกว่าคนชั้นต่ำหรือขอทาน
สโมสรคนอังกฤษ คือแหล่งอารยธรรมเป็นศูนย์กลางอำนาจแห่งเดียวที่คนอังกฤษ ใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ เล่นเทนนิส อ่านหนังสือ ทานอาหาร สโมสรอังกฤษคือป้อมปราการ คือสวรรค์วิมาน ที่คนตะวันออกใฝ่ฝันจะได้เข้าไปกระทบไหล่นายเหนือหัว กฎเหล็กของสโมสรคือห้ามคนตะวันออกและสัตว์เลี้ยงเข้าสโมสรเป็นอันขาด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีคำสั่งจากสำนักข้าหลวงใหญ่ในอินเดีย ให้รับเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่เป็นตะวันออกเป็นสมาชิกหนึ่งคน
อู โพ คะยิน ผู้ช่วยอัยการ ข้าราชการกังฉินประจำแห่งคะยอกตาดา หมายมั่นปั้นมือว่าสมาชิกสโมสรอังกฤษต้องเป็นของเขาเพราะเขาเป็นลูกชายของเสมียนที่เคยทำงานกับบริษัทอังกฤษผู้ภักดีต่อคนขาวตลอดมา โพ คะยิน เป็นคนเจ้าเล่ห์ทะเยอทะยานที่ไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นเสมียนจนยกระดับเป็นผู้ช่วยอัยการ โพ คะยิน เคยสร้างสถานการณ์ให้นักโทษแหกคุกแล้วตามจับด้วยตัวเอง สร้างสถานการณ์ก่อขบถเองแล้วปราบเองเพื่อให้ผลงานเข้าตา เจ้านายคนขาว โพ คะยิน กรรโชกทรัพย์รีดไถผู้ต้องหารีดเงินมาสนับสนุนสโมสรอังกฤษ จึงมั่นใจว่าสมาชิกอันทรงเกียรติต้องเป็นของเขา
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ในเมืองคะยอกตาดา ยังมีแพทย์ตงฉินชาวอินเดีย ที่ชื่อว่าดร.วิรัศมี เข้าตากรรมการอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.วิรัศมี เป็นเพื่อนสนิทและชาวตะวันออกคนเดียวที่นายฟลอรี่ หัวหน้าสถานีป่าไม้สนับสนุนให้เป็นสมาชิกสโมสร โพ คะยิน จึงใช้แผนการชั่วร้ายทำลายความน่าเชื่อถือดร.วิรัศมี ตั้งแต่ปล่อยข่าวลือเรื่องทำให้คนป่วยตายคาเตียง สร้างข่าวลือว่าหมอเป็นผู้นำขบถ ตลอดถึงวางแผนให้ชาวบ้านในตำบลหนึ่งลุกขึ้นมาก่อจลาจลแล้วลงมือใช้กำลังปราบปรามด้วยตัวเอง แต่ก็ยังทำอะไรดร.วิรัศมีไม่ได้ และเมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้งโพ คะยิน ใช้ไม้ตาย จ้างผู้หญิงที่เคยเป็นคนซักรีดเสื้อผ้าและบางคราให้บริการบนเตียงให้นายฟลอรี่ ไปตะโกนหน้าสโมสร เรียกค่าเสียหายจากนายฟลอรี่ ว่าข่มขืนเธอแล้วทอดทิ้ง นายฟลอรี่ซึ่งกำลังจะขอแต่งงานกับอิลิชซาเบต สาวโสดเพียงคนเดียวในเมืองอับอายจนยิงตัวตาย
โพ คะยิน ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสโมสรอังกฤษ แต่อยู่ได้ไม่นานเป็นลมชักตาย ดร.วิรัศมี ถูกย้ายจากเมืองคะยอกตาดา มาเป็นผู้ช่วยแพทย์ในมัณฑะเลย์ Burmese Days จบลงแบบโศกนาฏกรรมตามแบบอย่างหนังสือฝรั่ง
เมื่อเอาเนื้อหาจากหนังสือมาพิจารณาจะพบว่า สายเลือดขบถสืบทอดที่ไหนสร้างความเลวร้ายได้มากกว่าที่คิด ในประเทศไทยตลอดเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สังคมได้ประจักษ์แล้วว่า หัวขบวนขบถเลวร้ายมาจากไหนใครเป็นผู้สืบทอดสายเลือดขบถทรยศชาติ ใครคือผู้สืบทอดสายเลือดขบถอั้งยี่เมื่อหลายสิบปีก่อน ใครคือขบถที่ปราบอย่างไรก็ไม่ตายเพราะมีเครือข่ายขบถสืบทอดต่อๆ กันมา และถ้าอยากรู้ว่าผู้สืบทอดสายเลือดขบถเป็นคนกลุ่มไหน ก็ดูได้จากนักการเมืองที่ประกาศว่าถ้าได้เข้าสภา จะล้มล้างขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ล้มล้างกฎระเบียบทหาร ยกเลิกกฎหมายปกป้องสถาบัน ต้องนิรโทษกรรมคนคุกคามสถาบัน ฉีกรัฐธรรมนูญปราบโกงทิ้งไป แล้วเขียนใหม่โดยคณะผู้ขบถทรยศชาติ ที่เคยพูดว่า หากมีลูกมีเต้าจะไม่ให้เติบโตในเมืองไทย ให้ไปร่ำเรียนเติบใหญ่รับใช้นายในเมืองฝรั่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี