ผู้เขียนและพี่น้องลูกหลานหลายคนได้เคยอุปสมบทได้บวชเรียนพระธรรมวินัยที่วัดสามพระยาเพราะมีความศรัทธาท่านอดีตเจ้าอาวาสคือท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร) ในตอนที่บวชนั้นท่านมีสมณศักดิ์ “พระธรรมปัญญาบดี” เมื่อมีเรื่องเงินทอนวัดเกิดขึ้นที่วัดสามพระยาและวัดอื่นบางวัด ทำให้ผู้เขียนมีความเศร้าใจมากเพราะถ้าได้ยึด “ธรรมานุธรรมปฏิบัติ” ของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ในเรื่องทรัพย์สินที่มีผู้นำมาถวายให้ท่านและให้วัดท่านจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ท่านรองเจ้าอาวาส ที่เรียกกันว่า “ท่านเจ้าคุณเล็ก” (พระราชวิริยาลังการ) เข้าบัญชีเก็บรักษาไว้เป็นของวัดทั้งหมด ถ้าทุกวัดได้ปฏิบัติดังกล่าวนี้อย่างเคร่งครัด ปัญหาทรัพย์สินเรื่องเงินทอนก็คงจะไม่เกิดมัวหมองและเศร้าหมองแก่พุทธศาสนิกชนดังที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
อุปสมบท ที่วัดสามพระยา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ฟื้น ชุตินฺธโร) เป็นพระอุปฌาย์ ผู้เขียนอุปสมบท
แต่เมื่อผู้เขียนได้มาอ่าน คำเทศนาของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ประยุตตโต) ได้แสดงธรรมแนะนำการทำใจในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการคณะสงฆ์ในปัจจุบันและการแก้ปัญหาด้วยปัญญา ก็คือว่า
๑.ดูสภาพตัวเองอย่างที่ว่านี้
๒.สืบสาวเหตุปัจจัยการแก้ด้วยปัญญา (โปรดดูรายละเอียดพระธรรมเทศนา ณ วัดญาณเวศกวัณ ๓๑ พ.ค.๒๕๖๑ ในเวทีทัศน์ของ สำนักข่าวอิศรา วันที่ ๓๑ พ.ค.)
จากพระธรรมเทศนาดังกล่าวทำให้ผู้เขียนนึกถึงการที่ได้เคยไปถวายความรู้ “กฎหมายทั่วไปที่พระสงฆ์ควรทราบ” ที่สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานบัญชีและกฎหมาย จัดขึ้นมานานแล้วในการไปถวายผ้าพระกฐินทุกปีที่วัดต่างจังหวัด และหลักสูตรนี้ที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ และสำหรับผู้เขียนจะไปถวายความรู้หลักสูตรเดียวกันที่วัดคลองวาฬ หัวหินทุกปี
แม้ที่วัดสามพระยาที่อดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสที่ถูกสึกและถอดถอนสมณศักดิ์จากกรณีเงินทอนวัด ก็ได้เคยให้ผู้เขียนไปถวายความรู้อยู่หลายครั้ง เพราะผู้เขียนมีความผูกพันกับวัดสามพระยามานานมากแล้ว
ภายหลังวัดสามพระยาไม่เชิญให้ไปถวายความรู้อาจจะเป็นเพราะผู้เขียนเคยไปบรรยายไม่เห็นด้วยที่จะให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” และเหตุ “ปาราชิก” ของธัมมชโย และการแก้ไขยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ยอมให้พระภิกษุมีทรัพย์สินได้และทำพินัยกรรมหรือจำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้อื่นในระหว่างมีชีวิตได้ โดยเสนอให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศต้องตกเป็นทรัพย์สมบัติของวัดทันทีแทนมาตรา ๑๖๒๓ ที่บัญญัติความนี้ไว้นานแล้วว่า
“ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม”
ผู้เขียนเห็นว่าการที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๒๓ รับรองการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของภิกษุไว้ดังกล่าวนี้ขัดต่อพระธรรมวินัยในสิกขาบทที่ ๘,๙ “โกสิยวรรค” ในนิสสัคคิยกัณฑ์(ห้ามรับทองเงิน,ห้ามทำการซื้อขายด้วยรูปิยะ ) กล่าวคือ “พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุรับเอง ใช้ให้รับทอง เงิน หรือยินดี ทอง เงิน ที่เขาเก็บไว้เพื่อตน”
ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดที่อยู่ในพระวินัยสงฆ์ 227 ข้อ และมีพุทธานุญาติให้สวดในที่ประชุมสงฆ์ทุกวันอุโบสถต้องสวด “ปาติโมกข์” เมื่อท่านต้องสวดอย่างนี้แล้วท่านจะละเว้นไม่ปฏิบัติจะถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือครับ
แต่ภายหลังทรงอนุญาตให้ยินดีปัจจัย ๔ ได้ คือทายกมอบเงินไว้แก่ไวยาวัจกร เพื่อให้จัดหาปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่นอนที่นั่ง ยารักษาโรค ภิกษุต้องการอะไร ก็บอกให้เขาจัดหามาให้ จึงมีประเพณีถวายใบปวารณาปัจจัย ๔ (ดูพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน พิมพ์รวมเล่มเดียวจบ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หน้า ๑๕๙)
พระธรรมวินัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเป็นอกาลิโกจึงมีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจากการบัญญัติของปุถุชนที่ยังมีกิเลสจึงไม่อาจจะขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัยได้ ฉะนั้น มาตรา ๑๖๒๓ นี้ ควรจะต้องถูกยกเลิกไปหรือบัญญัติความใหม่ไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์หรือกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินรวมทั้งการทำบัญชีธรรม โดยมีความใหม่ในสาระสำคัญ ดังนี้
“ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นและนำเข้า “บัญชีธรรม” ทั้งหมด ถ้าพระภิกษุมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายให้ไวยาวัจกรเป็นผู้จัดถวายให้”ตามความจำเป็น
“บัญชีธรรม” ให้เป็นไปตามรูปแบบที่มหาเถรสมาคมกำหนด
ส่วนการทำและมีบัญชีที่ขอเรียกชื่อตามคำบรรยายและข้อเสนอแนะของสมาคมสำนักงานบัญชีและกฎหมายว่า “บัญชีธรรม”ดังมีตัวอย่างรายการบัญชีของวัด ดังรูปแบบ ดังนี้
(รายละเอียด รูปแบบขอดูได้ที่สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์)
อนึ่งผู้ที่จะมีหน้าที่ทำบัญชีและจัดการดูแลรักษาผลประโยชน์ของวัดได้แก่ “ไวยาวัจกร” ที่ตามกฎหมายคณะสงฆ์ให้มีฐานะเป็น“เจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา” ที่จะต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งที่สำคัญนี้ตามที่คณะกรรมการมหาเถรสมาคมกำหนดไว้ เช่น มีความรู้ทางพระธรรมวินัยกฎหมายและการบัญชีระดับหนึ่งและไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต
ศาสตราจารย์ พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี