วันนี้ผมขออนุญาตออกตัวลาคอลัมน์ก่อนหนึ่งวันเนื่องจากเดินทางอยู่ประเทศอิตาลีครับ จึงขอนำบทความจากความรวม “หางกระดิกหมา” เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจพลังงานที่เป็นสมบัติของชาติ และเป็นแนวทางที่ผมเห็นด้วยมากกว่าในการดูแลทรัพย์สินของชาติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของคนทุกรุ่นทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต ไม่ใช่เพียงแต่รุ่นปัจจุบัน และเพื่อสืบเนื่องจากกระแสความเข้าใจผิดจากการปั่นเรื่องดราม่าราคาน้ำมันจากบทความในตอนที่แล้ว จึงขออนุญาตนำบทความนี้ของคุณบรรยง พงษ์พานิช มาให้พิจารณากันครับ
------------------------
คุณบรรยงแกเริ่มเกริ่นไว้ว่า... มีกระแสเรียกร้องทวงคืน ปตท. (มาทุกยุคทุกสม้ย) นัยว่ารัฐควรจะเอาปตท.ออกมาเสียจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อจะได้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรจะได้ลดราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันต่างๆ ลง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากประชาชน มีถึงกับบอกว่าปตท.กำไรปีละแสนล้านขายน้ำมันปีละ 20,000 ล้านลิตร ลดราคาได้ลิตรละ 5 บาททีเดียว
การใช้ประเด็นนี้หาผู้สนับสนุนนั้น ดูเผินๆ จะเห็นว่ามีตรรกะอยู่บ้าง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าเป็นตรรกะแบบเบ็ดเสร็จที่ใช้ไม่ได้
ถ้าทำอย่างนั้นจริงหมายถึง ปตท.ต้องนำกำไรจากส่วนอื่นมาอุดหนุนราคาน้ำมัน (กำไรจากน้ำมันมีไม่ถึงเจ็ดพันล้านบาทเอง) สิ่งแรกที่จะเกิดคือบริษัทน้ำมันอื่นๆ เจ๊งหมด (แค่นี้เค้าก็ไม่ค่อยกำไรเลิกไปหลายรายหดตัวอีกหลายราย) ปตท.เลยต้องเพิ่ม Market Share จาก 40% เป็น 100% แล้วโครงสร้างพลังงานที่ถูกวางไว้ค่อนข้างดี (ทำให้เรามีพลังงานใช้อย่างฟุ่มเฟือยมาตลอด) ก็คงจะพังครืนลงมาเตรียมรับวิกฤติการขาดแคลนได้เลย
จริงอยู่ที่ในวันนี้ ปตท.ยังต้องควรถูกปรับปรุงอีกยังมีข้อได้เปรียบทางการค้า เช่น เรื่องท่อก๊าซโรงแยกก๊าซยังใช้ฐานะรัฐวิสาหกิจ ได้รับยกเว้นพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าและที่สำคัญยังอยู่ใต้อำนาจรัฐนักการเมืองยังมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการกับแทรกแซงการบริหารได้มากอยู่ (และก็ทำมาตลอด)
ที่ถูกต้องคือ ควรปรับปรุงเพื่อขจัดปัญหาที่ว่าข้างต้นวาง Governance ให้ดีแล้วแปรรูปให้เป็นเอกชนเต็มที่ขายหุ้นเสียให้หมดเอาออกมาจากอุ้งมืออุ้งตีนรัฐมนตรีเสียที (พูดง่ายๆ ก็คือให้ออกมาจากอุ้งมือการบงการของฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนนักการเมืองหรือทหาร) ทำอย่างนี้รัฐก็จะได้เงินไม่น้อยกว่าห้าแสนล้านบาทการพลังงานก็จะรุ่งโรจน์ไปอีก และที่สำคัญ....การลดขนาดลดบทบาทลดอำนาจรัฐนั้นเป็นการลดคอร์รัปชั่นที่ได้ผลเร็วและมากที่สุด
ข้อเสนอของ “หางกระดิกหมา” บทความตอนที่ 59 :การแปรรูปสกัดคอร์รัปชั่นได้
หากลองพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับสาเหตุการขอทวงคืนปตท. แล้วก็จะพบว่าใจความหลักๆ นั้นหนีไม่พ้นเรื่องที่รัฐบาลกลบข้อมูลไม่ให้ประชาชนรู้ว่าเรารวยน้ำมัน และปล่อยให้ปตท.เสวยกำไรอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชน
เรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไร เพียงเอาตัวเลขมากางดูเดี๋ยวก็กระจ่าง ดังนั้น ในตอนที่แล้วจึงได้เสนอให้มีการปฏิรูปเรื่องความโปร่งใสเกี่ยวกับข้อมูลของภาคพลังงานเสียก่อน ให้สองฝ่ายยืนอยู่บนข้อเท็จจริงชุดเดียวกันแล้วค่อยว่ากันว่าจะปฏิรูปกันอย่างไรไม่เช่นนั้นก็ไ้ด้เถียงกันคนละเรื่องอยู่อย่างนี้
กระนั้นค่อนข้างแน่ใจว่าจะปฏิรูปอย่างไร การเอาปตท.กลับไปอยู่กับรัฐสมควรจะถูกตัดออกไปก่อนด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า
หนึ่งประโยชน์อะไรที่จะเอาปตท.กลับไปอยู่กับรัฐบาลเพราะในเมื่อรัฐบาลที่คิดจะฝากผีฝากไข้สุดท้ายก็คือรัฐบาลที่กำลังไม่ไว้วางใจอยู่ในตอนนี้และ
สองไม่ว่าการเอาปตท. คืนกลับไปอยู่กับรัฐจะแก้ปัญหาอะไรได้สุดท้ายก็จะต้องสร้างปัญหาใหม่คือปัญหาคอร์รัปชั่นเพราะหนึ่งในสาเหตุของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตั้งแต่แรกก็เพื่อไว้สกัดปัญหาคอร์รัปชั่นนั่นแหละ
อาจเป็นเพราะปตท.ถูกแปรรูปมานานเกินไป เราจึงได้ลืมกันไปแล้วว่ากิจการที่อยู่ในความดูแลของรัฐหรือแปลอีกทีก็คือ อยู่ในอำนาจนักการเมืองนั้น ย่อมหาดีได้ยาก เพราะกิจการของรัฐนั้นมีงบประมาณและสิทธิพิเศษมหาศาล แต่การดำเนินการยังไม่ถูกกฎหมายบังคับให้โปร่งใสเหมือนเอกชนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจึง “มั่ว” กันได้เต็มพิกัดเริ่มตั้งแต่นักการเมืองซึ่งใช้อำนาจแจกโปรเจกท์แลกสินบน ผู้บริหารซึ่งไม่สนใจพัฒนาประสิทธิภาพเพราะใช้งบหลวงอุดความขาดทุนได้ พนักงานซึ่งเช้าชามเย็นชามเพราะไม่มีใครกวดขัน ตลอดจนพ่อค้าซึ่งขายของห่วยราคาแพงแต่ก็ยังทำธุรกิจกับรัฐได้เพราะใช้สินบนบังคับผลประมูล ฟังแล้วก็ไม่รู้ไปเอาที่ไหนมาคิดว่าสิ่งแวดล้อมอย่างนี้จะทำให้รัฐรับปตท.คืนไปแล้วสามารถทำน้ำมันมาขายให้คนไทยถูกๆ ได้
แน่นอนถ้าจะเอาให้ถูกจริงๆก็ได้เหมือนกันคือเอาเงินภาษีมาอุดหนุนแต่แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเพราะถ้าภาษีนั้นเก็บมาจากคนที่ใช้น้ำมันนั้นอยู่แล้วก็แปลว่าเอาอัฐยายมาซื้อขนมยายยิ่งถ้าภาษีนั้นเก็บมาจากคนที่ไม่ได้ใช้น้ำมันยิ่งแล้วใหญ่เพราะนั่นแปลว่าคนไม่ใช้กลับต้องเป็นคนจ่ายเศรษฐกิจก็จะบิดเบี้ยวไปทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เอากลับไปเป็นของรัฐ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ปตท.จะไม่จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอะไรเลยเพราะอย่างน้อยๆ แค่ในเส้นทางการแปรรูปที่ ปตท.ได้เดินมานี้ ก็ต้องเรียกว่ายังไม่บรรลุถึงจุดหมาย
เพราะหัวใจของการแปรรูป (Privatization) นั้นก็คือการเอากิจการที่เคยเป็นของรัฐและอยู่ในบงการของรัฐให้กลายมาเป็นของเอกชนและอยู่ในบงการของตลาดเพื่อที่จะได้อาศัยบงการของตลาดบังคับกิจการให้ต้องพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตยิ่งขึ้น
โดยนัยนี้การแปรรูปจึงไม่อาจทำโดยเพียงการเอากิจการของรัฐไปจดทะเบียนในตลาดหรือ “Corporatization”เท่านั้น หากแต่ต้องรวมถึงการจัดแต่งองค์ประกอบทั้งหลายที่จะทำให้ตลาดมีอำนาจเหนือกิจการนั้นๆ ได้อย่างแท้จริง บริษัทเอกชนอื่นในตลาดเขาอยู่กันด้วยปัจจัย อย่างไรก็ต้องจัดให้กิจการที่ถูกแปรรูปได้อยู่ในปัจจัยอย่างนั้นไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้น สิทธิพิเศษหรือการแทรกแซงจากทางรัฐใดๆ ที่กิจการที่ถูกแปรรูปมีแต่บริษัทเอกชนอื่นไม่มีก็ต้องถูกเพิกถอน
ออกเสียให้หมด
กล่าวคือกิจการที่ถูกแปรรูปจะต้องไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ (ภาษีดอกเบี้ย ฯลฯ) ที่บริษัทอื่นไม่ได้ไม่มีสิทธิใช้อำนาจมหาชนของรัฐ และในขณะเดียวกัน รัฐก็ต้องไม่มายุ่มย่ามกับการบริหารจัดการกิจการที่ถูกแปรรูปไม่มีอำนาจผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากเหนือกิจการไม่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารของกิจการที่ถูกแปรรูปจะลดแรงงานปิดโรงงานปรับแผนธุรกิจ อย่างไรก็ควรทำได้โดยอิสระเหมือนบริษัทอื่นกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายล้มละลาย กฎหมายแข่งขันทางการค้า ฯลฯ ปรับใช้กับบริษัทอื่นอย่างไรก็ให้ใช้กับกิจการที่ถูกแปรรูปเหมือนกัน ไม่ต้องยกเว้นหรือมีข้อแม้
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า แม้ทุกวันนี้ปตท.จะถูกกระจายออกเป็นหุ้นและได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว แต่รัฐยังคงเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากของ ปตท.ยังคงมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการผู้บริหาร มิหนำซ้ำปตท.ยังได้รับการยกเว้นจากกฎหมายแข่งขันทางการค้าอีกต่างหาก ทำให้เห็นได้ว่าการแปรรูปของปตท.เท่าที่ได้ดำเนินไป ยังอยู่แค่ในขั้นของ Corporatization เท่านั้น แต่ยังไม่ได้กำจัดการแทรกแซงจากรัฐและยกเลิกสิทธิพิเศษบางอย่างที่จะทำให้การแปรรูปเป็นการแปรรูปที่สมบูรณ์แต่อย่างใด
น่าจะเป็นการดีกว่าที่เราจะลองทำการแปรรูปที่แท้จริงให้เกิดขึ้นให้ได้เสียก่อน
------------------------
เรื่องลักษณะนี้ถกเถียงกันไปสุดโต่งหลายมุมมากครับอย่างไรเสียขอให้พิจารณาจากแหล่งที่มาต้นตอของเนื้อหาที่มีแหล่งที่มาเชื่อถือได้ บุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลไม่มีอคติ ปราศจากการครอบงำด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าครับ ผมจะกลับมาเล่าเรื่อง การเมืองและเศรษฐกิจของอิตาลีให้ฟังกัน...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี