“ความเสื่อม” ที่ต่ำตมที่สุดอย่างหนึ่งในวงการพระพุทธศาสนา คือ พระสงฆ์บางส่วน รวมถึงนักวิชาการและกลุ่มผลประโยชน์ที่เกาะเกี่ยวหากินกับพระที่มีอิทธิพลอำนาจและเกรงจะสูญเสียอาณาจักรแห่งผลประโยชน์ส่วนตนนี้ไป เลือกใช้วิธีปลุกระดม ปลุกปั่น ด้วยความเท็จซ้ำซาก เพื่อหวังสร้างแรงต่อต้านการจัดระบบระเบียบ สร้างความโปร่งใสในกิจการพระพุทธศาสนา
ความเท็จซ้ำซาก เช่น
ใส่ร้ายว่าพลเอกประยุทธ์เป็นมุสลิม จะทำลายศาสนาพุทธ
ใส่ความว่าศาสนามุสลิมกำลังจะกลืนกินศาสนาพุทธ สร้างเรื่องตุตะว่าธนาคารอิสลามถูกใช้เป็นเครื่องมือกลืนกินศาสนาพุทธ ทั้งๆ ที่ ไม่เกี่ยวกันเลย แถมธนาคารอิสลามที่มีหนี้เน่ามหาศาลในช่วงรัฐบาลที่แล้ว ก็เพราะลูกค้าที่เป็นศาสนาพุทธเรานี่เอง ฯลฯ
ทั้งหมด เพื่อวาดภาพศัตรูจากภายนอก เพื่อกลบเกลื่อน “สนิมจากเนื้อใน” ก็คือ บรรดาอลัชชีที่กอบโกยโกงกินอยู่หลังม่านศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากการตรวจสอบทุจริต และจัดระบบระเบียบของทางการ ตรงกันข้าม กลับได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เพราะเงินโกง หรือเงินที่เคยรั่วไหลไป ก็จะถูกอุดรูรั่ว
1.ล่าสุด ปรากฏว่า พระสงฆ์และเครือข่ายกลุ่มเดิมๆ ก็พยายามปั่นข่าวเท็จ มุ่งปลุกระดมสร้างแรงต่อต้านการทำหน้าที่ของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
บิดเบือนโจมตีว่า รัฐบาลถังแตก ไม่มีเงินจะจ่ายราชการ จึงต้องดำเนินการตรวจสอบเงินวัด เพื่อเก็บภาษีวัด และปลุกระดมมิให้พระอยู่เฉย อ้างว่าถ้าพระสงฆ์ทำตัวอุเบกขาอย่างเดียว ถือว่าเป็นภัยต่อศาสนาพุทธ
ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริง หนังสือข้อสั่งการข้าราชการ พศ.ที่อ้างถึงนั้น แจ้งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด
ระบุว่า “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความประสงค์จะขอข้อมูลจากวัดทั่วประเทศ ที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด กรณีที่พระภิกษุสงฆ์ มิต้องถือเงินสด แต่จะนำเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันทีเมื่อได้รับ
ในการนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงขอให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการสำรวจข้อมูลโดยด่วน หากพบว่าวัดใดในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด มีการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ขอให้ทำการสัมภาษณ์เกี่ยวกับขั้นตอน
และวิธีการดำเนินการ โดยให้บันทึกเป็นวีดีโอ พร้อมสรุปข้อมูลขั้นตอนและวิธีการดำเนินการ และส่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ภายในวันที่ 11 มิ.ย. ทั้งนี้ หากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดใด ได้ดำเนินการสำรวจทั้งพื้นที่แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีวัดที่ดำเนินการดังกล่าว ขอให้มีหนังสือแจ้งให้ทราบด้วย”
2.เห็นได้ว่า หนังสือข้างต้น มุ่งหาแนวทางปฏิบัติของวัดที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเกี่ยวกับการจัดการเงินของวัด
นั่นก็เพื่อดูว่า วัดใด ปฏิบัติดี ปฏิบัติงาม โดยที่พระไม่ต้องถือครองเงินส่วนตัว แต่เมื่อได้เงินมามีการส่งเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันที เขาจัดการกันอย่างไร
พวกที่ตัวสั่นงันงก เห็นจะไม่พ้น พวกที่อาศัยสถานะความเป็นพระหากิน หาเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัว
อลัชชีและลูกสมุนพวกนี้ คงกลัวชาวพุทธจะตาสว่าง รู้ความจริงว่า วัดที่เขามีวัตรปฏิบัติถูกต้อง งดงาม โดยที่พระไม่ต้องมีเงินในบัญชีส่วนตัวเป็นร้อยล้าน เขาก็ทำได้ แถมยังเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาขนาดไหน
แล้วในอนาคต หากมีการจัดระบบให้โปร่งใส ชัดเจน คนที่จะเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ใช่พระ แต่เป็นเหลือบของศาสนาพุทธ ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ตาม
3.ขณะนี้ ยังไม่เคยนโยบาย หรือแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะไปเก็บภาษีวัด-ภาษีพระเลย
ก่อนหน้านี้ พระที่เคยหยิบเอาความเท็จเรื่องนี้ออกมาเคลื่อนไหว (แต่ระยะหลังเก็บตัวเงียบมาก) คือ พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ถึงขนาดเคยทำหนังสือเรื่อง “การเตรียมกฎหมายเก็บภาษีพระและตรวจสอบทรัพย์สินของวัด”ถึงเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศ จำนวนกว่า 3 หมื่นวัด
ระยะหลังก็ปิดปากเงียบไป จะด้วยเหตุผลกลใดมิอาจทราบได้
4.ประเด็นสำคัญ คือ ควรจะต้องมีการปฏิรูประบบจัดการเงินทองในกิจการพระพุทธศาสนา หรือไม่?
หลังจากเห็นข่าว พระสะสมเงินในบัญชีส่วนตัวเป็นร้อยล้าน
ยังไม่นับทรัพย์สินในรายการอื่น หรือในชื่อคนอื่น
พระดังบางราย มีเงินเก็บล้นกุฏิ มีทรัพย์สินหรูหราฟู่ฟ่า รถยุโรปคันแพง บ้าน ที่ดิน ฯลฯ บริหารจัดการเสมือนหนึ่งอาณาจักรผลประโยชน์ส่วนตน
ทั้งๆ ที่ ทรัพย์สินเหล่านั้น ควรเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาส่วนรวมเพราะได้มาจากการอาศัยผ้าเหลือง อาศัยความเป็นสงฆ์ และพระธรรมวินัยก็ระบุชัดถึงข้อห้ามมิให้สงฆ์สะสมเงินทองทรัพย์สินส่วนตัวพอกกิเลส
พระจำนวนมาก บวชแล้วไม่ศึกษาปฏิบัติธรรม แต่บวชเพื่อหาเงินรายได้ส่วนตัว
ระบบการเงินของวัด ควรโปร่งใส ตรวจสอบได้ ว่าวัดใดมีรายได้มากหรือน้อย จะได้กำหนดแนวทางช่วยเหลืออุ้มชูที่เพียงพอและสอดคล้องกับความเป็นจริง
อันที่จริง ว่ากันตามหลักพระธรรมวินัย นั้น พระจะต้องไม่รับเงินเป็นของส่วนตัว
หากได้รับมา ก็นำเข้าวัด ส่งต่อเข้าบัญชีวัดอย่างชัดเจน โปร่งใส
ส่วนค่าใช้จ่ายบรรดามีของวัดและพระ ก็สามารถให้คณะกรรมการที่ตั้งจากพุทธบริษัทสี่ ช่วยกันดูแลจัดการจัดสรรบริหาร ไม่ว่าจะค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่ารถ ค่าของใช้จิปาถะ ตามอัตภาพ สามารถจัดการได้อยู่แล้ว
ไม่ขาดตกบกพร่องเลย
รวมไปถึงการจัดการเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ที่ต้องใช้เงิน และมีรายรับเกี่ยวกับเงินเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็น งานก่อสร้าง งานบุญ งานจัดการทรัพย์สินต่างๆ
แต่พระจะไปสั่งให้เอาเงินส่วนกลางเลี้ยงอีหนู เลี้ยงหมอนวด หรือเปิดร้านเสริมสวยให้เด็กสาว ไม่ได้
5.ถ้าสามารถวางระบบจัดการเงินของพระพุทธศาสนาได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เชื่อแน่ว่า กิจการพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุด วัดที่อยู่ต่างจังหวัด วัดที่ห่างไกล จะมีระบบส่งความช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน พวกอลัชชีที่เข้ามาบวชเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวก็จะหมดทางทำมาหากิน จะต้องออกไปจากผ้าเหลือง จะเหลือแต่พระที่เรากราบได้อย่างสนิทใจ และพุทธบริษัทสี่ก็จะสามารถใช้ทรัพยากรของพระพุทธศาสนาส่วนรวมที่ไม่รั่วไหลเข้าไปดำเนินการอุ้มชูอย่างเต็มที่ต่อไป
ชาวพุทธทำบุญ ก็จะเกิดบุญ ไม่ใช่ไปอุ้มชูผีเปรตในคราบผ้าเหลือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี