รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินหน้ากวาดล้างมารศาสนาต่อไปหลังจากได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนจับกุมพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ที่พัวพันคดีทุจริตเงินทอนวัดแบบถอนรากถอนโคนโดยรัฐบาลไม่ได้กลั่นแกล้งหรือว่าปราบปรามเพราะรัฐบาลเอาใจศาสนาอื่นอย่างที่มีการโจมตีทางโซเชียลมีเดีย
ด้านพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อความและภาพในโซเชียลมีเดียระบุ เหตุผลในการจับพระให้เป็นข่าวใหญ่ก็เพื่อกลบข่าวการเปิดทำเนียบเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอน รวมทั้งรัฐบาลอนุมัติงบประมาณก่อสร้างมัสยิดหลายแห่ง
เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นมุสลิมจึงให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยมีผู้พยายามจะปล่อยข่าวบิดเบือนสร้างความสับสน ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นับถือศาสนาพุทธ จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ทำบุญตักบาตรอย่างสม่ำเสมอและเข้าร่วมพิธีทางศาสนาเมื่อถึงโอกาสสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา ทั้งที่เป็นพระราชพิธีและภายในทำเนียบรัฐบาล ในฐานะผู้นำประเทศก็ดูแลให้ความสำคัญกับทุกศาสนา
ส่วนการจัดงานเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอนที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น โฆษกรัฐบาลเผยว่า เป็นงานที่รัฐบาลจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ในอดีตมาไม่ใช่เพิ่งเริ่มในรัฐบาลนี้แต่อย่างใด เช่นเดียวกับงานเมาลิดกลางที่ผู้นำประเทศจะไปร่วมงานด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การสนับสนุนงบประมาณให้แก่ศาสนาใดก็จะมีกฎระเบียบและขั้นตอนที่ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีก็ตาม โดยศาสนาพุทธก็มีเงินอุดหนุนวัด เช่นกัน ดังที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันว่ามีบางวัดกำลังมีปัญหาเรื่องการทุจริตอยู่ในเวลานี้
หากตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบว่า มัสยิดที่มีการก่อสร้างหลายแห่งนั้น ส่วนใหญ่ใช้เงินบริจาค หรืองบประมาณจากท้องถิ่น เช่น มัสยิดที่ จ.นนทบุรี ส่วนที่ จ.นครศรีธรรมราช ก็มีการอนุมัติงบตั้งแต่ปี 2555ขณะที่ค่าตอบแทนของโต๊ะอิหม่าม อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่น ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยนั้นอยู่ระหว่าง 1,000-3,500 บาท ไม่ใช่ 18,000 บาทต่อเดือน ตามที่มีการกล่าวอ้างโจมตีในโซเชียลมีเดียแพร่หลายอยู่ในขณะนี้
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน และขอให้ผู้ไม่หวังดีหยุดพฤติกรรมบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนา หากสืบทราบว่าผู้ใดเป็นต้นตอของการปล่อยข่าวเท็จจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป
การให้เงินงบประมาณสนับสนุนแก่พุทธศาสนาผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้นมีระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจนมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลในระบอบทักษิณได้ตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแยกออกมาจากกรมการศาสนาเมื่อมีงบประมาณเพิ่มมากก็เลยเป็นแหล่งหาเงินของข้าราชการขี้ฉ้อที่ร่วมมือกับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เป็นที่ทราบกันว่าตบมือข้างเดียวไม่ดังแต่ถ้าร่วมมือกันระหว่างฆราวาสกับพระจึงโกงและเกิดระบบเงินทอนวัดได้
คดีเงินทอนวัดนั้นพล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบเผยความคืบหน้าการสืบสวนดำเนินคดีทุจริตเงินทอนว่าได้รับการร้องเรียนจากพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบวัดทั่วประเทศที่ได้รับงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในช่วงปี 2555-2560
มูลค่าความเสียหายสอบได้แล้วรวมกว่า 340 ล้านบาท และเป็นการทุจริต 3 งบประมาณ คืองบบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดงบอุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยวัดสระเกศราชวรมหาวิหารที่ถูกดำเนินคดีถือเป็นการทุจริตงบสูงที่สุดกว่า 150 ล้านบาท
ข้อมูลตั้งแต่ลอต 1 นั้นตำรวจทำสำนวนคดีทุจริตเงินทอนวัด 12 คดี มีผู้ต้องหาที่มีหลักฐานพยานชี้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมทุจริตในครั้งแรกทั้งหมด 10 ราย มูลค่าความเสียหาย กว่า 61 ล้านบาท ลอต 2 พบว่ามีวัดที่เข้าข่ายการกระทำความผิดทั่วประเทศไทย 476 วัด พบการกระทำผิด 23 คดี รวมความเสียหาย140 ล้านบาท ผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย
ลอต 3 รวม 10 วัด มูลค่า 140 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 19 ราย ประกอบด้วยพระสงฆ์ 7 รูป ข้าราชการและอดีตข้าราชการ พศ. 10 คน แบ่งเป็นผู้ต้องหาเก่า 8 คน เพิ่มผู้ต้องหาใหม่ 2 คน เป็นระดับอดีตข้าราชการ รอง ผอ.พศ. 1 ราย และระดับหัวหน้าหน่วย 1 ราย รวมกับประชาชนที่มีส่วนรู้เห็น การทุจริตอีก 2 ราย
ลอตที่ 4 มีกระแสข่าวหลุดออกมาว่ามีวัดดังๆในกทม.อยู่ในข่าย 3 วัด คือ วัดราชสิทธาราม,วัดปากน้ำภาษีเจริญและวัดพิชัยญาติการาม ซึ่งเจ้าอาวาสทั้ง 3 วัด เป็นพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ชั้นมหาเถรสมาคมและน่าจะเป็นคดีใหญ่ที่ประชาชนต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี