“การประมูลควรเกิดขึ้นและสำเร็จไปตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่ก็เกิดความล่าช้ามาโดยตลอด แม้ภาครัฐจะกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนแต่ก็เลื่อนไปเลื่อนมา เพราะไม่ว่าจะออกแบบการประมูลรูปแบบใด ก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจึงไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าจะได้ผู้ชนะประมูล” เป็นคำพูดของ นายบวร วงศ์สินอุดม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ที่ประกาศกลางงานเสวนา “บงกช เอราวัณ ล่าช้า ตัดโอกาส ลดศักยภาพ!!! เศรษฐกิจไทย” อาจเป็นหนึ่งในเสียงของผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่แสดงท่าทีชัดเจนถึงความไม่มั่นใจว่า การประมูลแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณ จะเกิดขึ้นได้จริงตามที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานคาดหวังไว้
จะว่าไปแล้วความไม่มั่นใจของภาคเอกชนไม่ใช่ว่าจะไร้ที่มาที่ไป หากมองย้อนกลับไปที่โครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ และเทพา ต้องยอมรับว่านโยบายที่ไม่ชัดเจนและกลับไปกลับมาของรัฐบาล ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าเส้นทางของบงกชและเอราวัณจะซ้ำรอยนั้น
สิ่งที่รองประธาน สอท.ฉายภาพให้เห็น มีประเด็นที่น่ากังวล เพราะหากการประมูลครั้งนี้ต้องล่าช้าออกไปหรือไม่ประสบความสำเร็จ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากค่าไฟฟ้าอาจเพิ่มขึ้นถึง 18 สตางค์ต่อหน่วย เพราะต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่ง ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ที่น่ากังวลที่สุดนั่นคือ นโยบายสำคัญเรื่องหนึ่งที่ผลักดันการพื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศนั่นคือ “โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)” อภิมหาโปรเจกท์ของรัฐบาลอาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะไม่มีก๊าซธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะต่อยอดไปสู่ปิโตรเคมีขั้นสูง แถมความมั่นคงทางพลังงานจะเข้าสู่ภาวะสุ่มเสี่ยงค่าไฟก็แพงเกินกว่าจะคุ้มค่าในการลงทุน
...ถึงวันนั้น จะมีกลุ่มทุนหน้าไหนกล้าเข้ามาลงทุน
เพราะเพียงแค่ปี่กลองการประมูลเริ่มบรรเลง บรรดานักร้องหน้าเดิมๆ ก็เริ่มประกาศคัดค้าน กล่าวหาว่าระบบแบ่งปันผลผลิตหรือ PSC ที่กระทรวงพลังงานนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นระบบสัมปทานจำแลง ที่ให้ผลประโยชน์กับประเทศชาติน้อย ทั้งๆ ที่ระบบนี้ เป็นระบบที่คนกลุ่มนี้ เรียกร้องมาตลอดและกระทรวงพลังงานก็นำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์จริง
การที่นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ออกมาย้ำสำทับครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าสามารถดำเนินการได้ทันตามแผนงานและระยะเวลาที่วางเอาไว้ โดยจะสามารถคัดเลือกผู้ชนะการประมูลได้ในเดือนธันวาคมนี้ และเซ็นสัญญาในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 อาจสร้างความเชื่อได้ในระดับหนึ่ง แต่สำคัญกว่านั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้คุมนโยบายทั้งหมดจะต้องหนักแน่น อย่าให้การประมูลครั้งนี้แท้งก่อนคลอด
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจติดหล่ม นี่เป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาล จะต้องใช้การประมูลแหล่งบงกช และเอราวัณ เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเชื่อมมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ อย่าไขว้เขวกับเสียงประท้วงของกลุ่มนักร้อง หรืออาศัยความไม่รู้ของประชาชนบางกลุ่มเพื่อสร้างฐานเสียงของบางพรรคการเมือง
รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นและความศรัทธากลับมาโดยเร่งให้การดำเนินงานด้านเปิดประมูลครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและตามกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ เพราะหากบงกช เอราวัณล้ม นั่นหมายถึงโครงการอีอีซีอาจถึงขั้นฟุบ
ทั้งหมดนี้เป็นบทวิเคราะห์จากท่านผู้รู้ส่งมาให้ผม ซึ่งผมเห็นด้วย
และยังมองว่านอกเหนือไปจากพลังงานแล้ว “น้ำ” ยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าน้ำไม่เพียงพอก็จะกระทบต่อโครงการใหม่ๆ ของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ได้เช่นกัน ต้องวางแผนให้ดีอย่าให้เกิดการแย่งน้ำในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี