ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งที่น่าห่วงมานานแล้วกรณีครูใหญ่หรือผู้อำนวยการโรงเรียนสร้างข่าวฉาวเป็นระยะสร้างความเสื่อมเสียกับวงการศึกษาของไทยปัจจุบันประเทศของเรามีข้าราชการครูและอาจารย์มากกว่าหกแสนคนรวมทั้งโรงเรียนภาคเอกชนทุกระดับคนที่มีอาชีพครูอาจารย์ในประเทศไทยที่ยังทำงานอยู่น่าจะมีมากกว่า 1 ล้านคน ถ้ารวมคนที่เกษียณอายุไปแล้วน่าจะมากกว่า 2 ล้านคน
ในอดีตก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อาชีพครูอาจารย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติยศชื่อเสียงมากพ่อพิมพ์และแม่พิมพ์เป็นอาชีพที่มียศถาบรรดาศักดิ์ไม่แพ้ข้าราชการทหารตำรวจพลเรือนครูใหญ่โรงเรียนประจำจังหวัดอย่างน้อยต้องมีบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระและมีโอกาสเลื่อนยศตำแหน่งเป็นมหาอำมาตย์ได้ไม่แพ้ข้าราชการอื่นๆ เช่นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีหรือเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วดูเหมือนเส้นทางอาชีพครูก็ยังไปได้ดีกระทรวงศึกษาธิการมีการจัดอันดับโรงเรียนมีระบบสอบรวมทั้งประเทศแบ่งออกเป็นการศึกษาสายวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์ หรือสายศิลปะมีการสอบไล่และประกาศอันดับคนเก่งที่เรียกว่าติดบอร์ด 50 คนแรกจากนักเรียนทั่วประเทศไทยใครสอบได้มีการประกาศรายชื่อว่ามีนักเรียนในจังหวัดใดสอบผ่านมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้กี่คนในแต่ละจังหวัด
ส่วนการสร้างครูทางกระทรวงศึกษาธิการก็จะมีทุนคุรุทายาทคัดเลือกเด็กชายหญิงที่มีแววดีให้ได้รับทุนมาศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยครูซึ่งปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏคุรุทายาททำให้แต่ละจังหวัดได้ครูอาจารย์เก่งๆ กลับไปสอนเด็กรุ่นหลัง
ต่อมาภายหลังเมื่อระบบพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทกับกระทรวงศึกษาธิการในช่วง 40 ปี ที่แล้วทำให้ระบบต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนแปลงไปคนเก่งทั้งชายและหญิงไม่มีใครอยากมาเรียนสายวิชาชีพครูคนเก่งๆ ไปเรียนเป็นนายแพทย์, สถาปนิก, วิศวกร, บริหารธุรกิจ, ทหาร, ตำรวจ, บัญชี, พยาบาล, ทนายความ, อัยการ, ผู้พิพากษากันหมดคนไม่เก่งถึงจะไปเรียนครูกันทำให้ระบบต่างๆ นั้นรวนไปหมดนี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ปัจจุบันจะพบข่าวที่ไม่สู้ดีมาเกี่ยวข้องกับครูเช่น ข่าวผู้อำนวยการโรงเรียนที่ไม่ดีบางรายหากินกับโรงเรียนโกงหรือว่าทุจริตกับค่าอาหารกลางวันของนักเรียนทุจริตค่าการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ทางการศึกษาหรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารสถานที่ภายในโรงเรียนหรือการทำถนนและรั้วของโรงเรียนมีการหากินเป็นกลุ่มบุคคลร่วมมือกับผู้บริหารในระดับสูงในจังหวัดถึงระดับกรมในส่วนกลางเป็นต้น
การที่บุคลากรในวงการศึกษาโดยเฉพาะในระดับพื้นฐานทั่วประเทศมีคนเก่งคนตั้งใจที่จะมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติน้อยแม้จะมีการปรับอัตราเงินเดือนให้สูงแล้วก็แค่ไม่จูงใจเยาวชนคนเก่งเท่าที่ควรนั้นภาครัฐบาลคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ต้องปรึกษาหารือแก้ไขปัญหาโดยด่วนเพราะเด็กและเยาวชนของเราต้องการครูเก่งครูดีมาเป็นพ่อพิมพ์ที่สามารถสร้างคนรุ่นหลังของประเทศให้สู้กับประเทศอื่นๆ ได้ในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาคนเป็นเรื่องที่สำคัญและจากข้อมูลที่ได้มานั้นกลุ่มประเทศอาเซียนรอบบ้านเราเช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, บรูไนและชาติชั้นนำในเอเชีย เช่นญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน, ไต้หวัน, ฮ่องกง, อินเดีย ฯลฯ
เขาตั้งอัตราเงินเดือนครูของเขาสูงกว่าข้าราชการอื่นๆ เพื่อดึงให้คนเก่งๆ มาเรียนครูซึ่งก็เหมือนกับอาชีพครูในซีกโลกตะวันตกแต่ประเทศไทยของเรานั้นมีระบบที่เรียกว่าฐานเงินเดือนของข้าราชการทุกระดับต้องให้เท่าๆ กันไม่ให้สูงกว่ากันแม้ในปัจจุบันเงินเดือนครูสูงขึ้นก็จริงแต่ไม่สามารถดึงดูดให้คนเก่งมาเรียนครูได้เพราะอาชีพครูภาพรวมรายได้ไม่สูงนักหากนำไปเทียบกับอาชีพนายแพทย์, สัตวแพทย์, วิศวกร, นักบัญชี, สถาปนิก, นักบริหาร ฯลฯ
ถ้าเด็กคนนั้นอยากเป็นมหาเศรษฐีคงไม่อยากมาประกอบอาชีพเป็นครูอย่างแน่นอนเพราะครูในประเทศไทยถ้าไม่ได้เป็นเจ้าของโรงเรียนเองคงไม่มีโอกาสร่ำรวยได้ในระยะเวลาอันสั้นผิดกับคนที่เป็นวิศวกร, สถาปนิกหรือแพทย์เมื่อเด็กเก่งในวันนี้ไม่มีใครอยากมาเป็นครูก็จะมีผลมากกับการสร้างคนของประเทศไทยดังนั้นหากรัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ก็ควรกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตของเราดูอาจจะพบทางสว่างก็เป็นไปได้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี