อิตาลี เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกอย่างไม่เป็นที่น่าสงสัย และไม่มีใครกังขา แม้กระทั่งล่าสุดที่อิตาลีได้มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ศาสตราจารย์จิวเซปเป คอนเต
อาจารย์กฎหมาย ที่ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และมิได้เป็นผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) โดยการก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ เขาได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีเซอร์จิโอ มัตตาเรลลา ประมุขของประเทศ ตามข้อเสนอของพรรคร่วมรัฐบาล 2 พรรค คือ พรรค League และพรรค Five Star Movement โดยไม่มีสมาชิกพรรค สมาชิกสภา หรือประชาชนคนใดคัดค้านว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะการที่มิได้เป็นสส. กล่าวคือ การมีนายกรัฐมนตรีคนนอกของอิตาลีนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดความโวยวาย หรือวุ่นวายใดๆในสังคมของอิตาลี
หลายๆ คนคงมีคำถามคาใจว่า แล้วทำไมอิตาลีถึงยอมรับให้คนนอก มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้?ซึ่งก็มีเหตุผลหลายประการ เช่น
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญมิได้มีข้อห้ามไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็มิได้กำหนดว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็น สส. เท่านั้น
2. พรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันและกระทำในนามของบรรดาสมาชิก ซึ่งให้ความไว้วางใจ ให้อำนาจรับผิดชอบที่จะสรรหาตัวนายกรัฐมนตรี
3. หัวหน้าพรรคทั้ง 2 ต่างปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ต้องการแข่งขันกันเอง เพราะหากกระทำก็อาจจะสร้างปัญหาขัดแย้งให้กับพรรค และสังคมอย่างใหญ่หลวง จึงละความทะเยอทะยานส่วนตัวลง
4. ประเพณีปฏิบัติทางวัฒนธรรมการเมืองของอิตาลี เปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ ในกรณีที่การเมืองชะงักงัน คับขัน เพื่อความยืดหยุ่น ดังเช่นที่ประธานาธิบดีอิตาลีได้เคยแต่งตั้งคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเมื่อช่วงปี 2554-2556 สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อการเมืองวิกฤติ ประมุขประเทศต้องเข้ามาแก้ไข ปลดล็อกทางการเมือง ซึ่งสังคมอิตาลียอมรับบทบาทนี้ของประมุขประเทศ
5. การที่ 2 พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันเลือกคนนอก ได้แสดงว่าทั้ง 2 พรรคแน่ใจว่า บุคคลคนนี้เป็นนักประชาธิปไตยทั้งจิตวิญญาณ และการปฏิบัติอีกทั้งสามารถจะเข้ามารับอุดมการณ์และนโยบายร่วมของทั้ง 2 พรรค เพื่อนำพาประเทศ การเป็นนักการเมืองหรือไม่เป็นนักการเมืองมิได้หมายความถึงการไร้ซึ่งการเป็นพลเมืองประชาธิปไตย
6. การที่ การเปิดทางให้ “คนนอก” เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยที่กฎหมายเปิดช่องทางออกไว้ให้ในกรณีวิกฤติ หรือนักการเมืองอาชีพไม่พร้อม และได้มอบภาระรับผิดชอบไว้ให้กับประมุขของประเทศ ไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับสังคมการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความไว้เนื้อเชื่อใจต่อการมีวุฒิภาวะ ของผู้ที่ดูแลรับผิดชอบกระบวนการประชาธิปไตย และต่อคนนอกที่ได้รับเลือกว่า เป็นผู้ที่มีจิตสำนึกในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
ในกรณี “คนนอก” ของไทย นั้นแตกต่างออกไปจากอิตาลี เพราะวิวัฒนาการทางการเมืองไม่เหมือนกันและสังคมการเมืองไทยยังหาข้อยุติ หรือการเห็นพ้องต้องกันยังมิได้ ยังมีความเห็นต่างกันอยู่มาก และอย่างแน่ชัด โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นคนใน คือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดทางให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ฝ่ายแรกเห็นว่า การมีคนในเท่านั้นเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง สะท้อนและโยงใยกับประชาชน อีกทั้งบรรดาหัวหน้าพรรคก็อยากเป็น สส. และเป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นว่า การเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ สร้างความยืดหยุ่นให้สังคมการเมืองมีทางเลือก และไม่ต้องผูกติดกับตัวหัวหน้าพรรค หรือบุคคลหนึ่งใดของพรรคที่เป็น สส. ซึ่งก็ดูมีเหตุผลถ้ามองแบบผิวเผิน แต่ถ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ หรือนัยสำคัญแล้ว เป็นการเปิดทางให้กองทัพ หรือบุคคลชั้นนำของกองทัพได้เข้าเป็นนายกรัฐมนตรีในบริบทคนนอกได้ เป็นการสะท้อนการเกี่ยวข้องของฝ่ายกองทัพ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำกับการเมือง ซึ่งผิดหลักการของประชาธิปไตย และสะท้อนความไม่เป็นประชาธิปไตยแบบเต็มใบของไทย
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการลดความสำคัญของตัวหัวหน้าพรรคการเมือง เพราะสังคมส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจ เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับนายกรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
สรุปได้ว่า สังคมการเมืองไทยไม่ควรมุ่งหาคนนอกที่เป็นข้าราชการทหาร หรือบุคคลที่มิได้แสดงตัวเป็นนักประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ควรจำกัดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ให้กับนักการเมือง
อาชีพเท่านั้น เพื่อไม่ต้องเสี่ยงกับนักการเมืองสามานย์ แต่น่าจะเปิดช่องทางไว้ให้สังคมหาคนดีๆ ได้ ก็น่าจะเป็นการดี กรณีอิตาลีเป็นแบบอย่าง เป็นตัวเปรียบเทียบ ของความยืดหยุ่นที่แวดวงวิชาการ และการเมือง แม้กระทั่งสาธารณชนโดยทั่วไปจะได้พึงศึกษาไว้ เพื่อเราจะได้หาข้อยุติกันได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี