การผ่านร่างพระราชบัญญัติที่มาของ สส. และ สว. ที่ลดทอนเงื่อนไขต่อการเลื่อนเลือกตั้งลง ทำให้การเลือกตั้งที่มีกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 น่าจะเป็นกำหนดเวลาที่ชัดเจนแล้ว
สำหรับการเลือกตั้ง นำมาสู่กระบวนการอื่นตามกฎหมาย หลังจากนี้เพื่อให้ทันการเลือกตั้ง ทั้งกรณีการปลดล็อกพรรคการเมือง เพื่อทำไพรมารีโหวต และการเตรียมการแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อให้ทันกำหนดเลือกตั้งจริงในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 รวมไปถึงการเรียกร้องของพรรคการเมืองให้ปลดล็อกเพื่อทำกิจกรรม จึงเป็นที่มาของการเริ่มมองไปถึงอนาคตแล้วว่า หลังเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น หรือสูตรในการจัดตั้งรัฐบาล จะเกิดส่วนผสมจากส่วนใดได้บ้าง?
วิเคราะห์ดูตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของแต่ละมุ้งการเมืองทั้งกลุ่มเก่ากลุ่มใหม่แล้วจะเห็นได้ว่า พรรคขนาดใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ตั้งแต่การยืนยันสมาชิกเดิมของพรรคที่จำนวนสมาชิกพรรคใหญ่หายไปกว่าค่อนของสมาชิกเดิม ประกอบกับการแช่แข็งพรรคการเมืองเดิมมา 4 ปี ย่อมบั่นทอนขุมกำลังพรรคการเมืองเดิม อาทิ การห้ามจัดประชุมพรรค การห้ามทำกิจกรรมในพื้นที่ รวมถึงการห้ามระดมทุน ก็เป็นการบั่นทอนสถานภาพของพรรคการเมือง
ตลอดจนกระแสของการถูกดูด สส. ของพรรคการเมืองเดิมทั้งหลาย เพื่อย้ายไปสู่พรรคการเมืองใหม่ที่กำลังจัดตั้งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ สส. ในพรรคเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ พรรคใหม่ที่ว่ามีทั้งปรากฏตัวแล้วและยังไม่ปรากฏตัวที่มีคนสงสัยว่าอยู่ใต้เงาของรัฐบาลนี้หรือไม่?
ส่วนพรรคอนาคตใหม่ที่ต้องสร้างฐานเสียงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อพรรคเดิมขนาดใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคเดิมขนาดเล็กอย่างพรรคพลังชล และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เน้นการดำเนินงานพื้นที่ ก็น่าจะเอาตัวรอดรักษาฐานเดิมไว้ได้ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยดูเหมือนจะมีสิทธิพิเศษบางอย่างที่ได้รับการต่อท่อมาจากรัฐบาลปัจจุบันหรือไม่? จากความใกล้ชิดพิเศษของหัวหน้าพรรคและอดีตแกนนำพรรคอย่างนายเนวินที่แสดงท่าทีที่เป็นบวกต่อนายกฯประยุทธ์ อย่างกรณีการสนับสนุนคนไปต้อนรับนายกฯ ในครั้ง ครม.สัญจร ที่จังหวัดบุรีรัมย์
จากระบบการเลือกตั้งและข้อจำกัดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เชื่อได้ว่าพรรคใหญ่ 2 พรรค จะถูกลดทอนให้เล็กลง ส่วนพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดกลาง มี 2 แบบ คือคงที่หรือขยายใหญ่ขึ้น ส่วนพรรคที่เกิดใหม่ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่าการเมืองจะเป็นไปในทิศทางใด?
เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับระบบการเลือกตั้งนี้ที่จะจัดตั้งรัฐบาลแบบพรรคเดียวเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ฉะนั้นแล้วการเลือกตั้งครั้งต่อไปผู้ที่กุมประโยชน์ และอำนาจในการเป็นรัฐบาลคือบรรดาพรรคเล็กขนาดไม่เกิน 20 ที่นั่ง ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ อนึ่ง ไม่ว่าพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทย แม้จะได้เสียงประมาณ 100 - 200 เสียงในสภา แต่ก็ยังต้องพึ่งพรรคเล็กอย่างอนาคตใหม่ ชาติไทยพัฒนา พลังชล รปช. และพรรคเล็กอื่นๆ ในการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อวิเคราะห์พรรคเล็กต่างๆ ก็จะสามารถจำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่จับมือกับทุกพรรคเพื่อเป็นพรรคร่วมรัฐบาล กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่น่าจะมีความชัดเจนว่าจะจับกับเพื่อไทยเท่านั้น อย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่ดูเป็นไปได้มากว่าจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะท่าทีที่แข็งกร้าวว่าไม่เอาพรรคทหาร หรือพรรคแนวร่วม คสช. อย่างแน่นอน รวมถึงกรณีเสนอแนวคิดนิรโทษกรรมที่ดูจะสอดคล้องกับแนวทางของพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่? ส่วนสุดท้ายคือ พรรคฝั่ง รปช. และพรรคแนวร่วม คสช. ถ้าหากได้ที่นั่งเยอะก็มีโอกาสที่จะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่? แต่ก็ไม่ได้แปลว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นนายกฯ เพราะมีปัจจัยอื่นที่มากกว่านั้นก็คือ พรรคที่สนับสนุนทหารอาจจะไม่ยอมให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกฯ?
เมื่อพูดถึงเรื่องการตั้งนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นฝั่งเพื่อไทยว่าที่หัวหน้าพรรคคนใหม่ คงไม่มีทางที่จะยอมให้พรรคเล็กขึ้นเป็นนายกฯ ไม่ว่าจะมาจากพรรคใด ดังนั้นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่มีคะแนนนิยมดี เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งจริงๆ มีโอกาสน้อยมากที่พรรคเพื่อไทยจะยกมือให้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะมีความคิดตรงกัน และเมื่อดูจากรายชื่อแกนนำที่ปรากฏอยู่ก็ยากมากที่จะสร้าง สส.เขต 30 เสียงในสภา และเมื่อประเมินถึงกลุ่มฐานเสียงในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วยแล้ว ตัวเลขเพียง 30 ก็อาจจะดูยากไปด้วยซ้ำใช่หรือไม่? แนวนี้จึงเท่ากับว่าเลือกพรรคใดในฝั่งนี้ก็จะเท่ากับเลือกเบอร์ 1 พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯหรือไม่
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรกันนั้น ไม่ว่าพรรคทหารจะได้เท่าไหร่? แต่จะมีเสียงพิเศษ 250 สว.หนุนให้พล.อ.ประยุทธขึ้นเป็นนายกฯ โดยไม่เกี่ยวกับการเมือง โอกาสตอนนี้ก็จะมีอยู่สองทางก็คือ ไม่ อภิสิทธิ์ก็พล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่ามีเพียงสองตัวเลือกเพราะว่า หนึ่งถ้าเป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางที่จะเป็นนายชวนอีกแล้ว เพราะล่าสุดนายชวนได้ประกาศไปแล้วว่า จะไม่กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีก และยินดีที่จะช่วยงานหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน และจะไม่มีชื่อติด 1 ใน 3 ของบัญชีนายกฯของพรรค
ดังนั้นการปั่นกระแสของสื่อบางฉบับเรื่องนายชวนจึงต้องปิดประเด็นลงไป สอง การที่บอกว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ เพราะว่าในบรรดาพรรคเล็กที่สนับสนุน คสช. ก็มีโอกาสที่จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้อยู่ในรายชื่อ 1 ใน 3 ของพรรคเหล่านั้น และพรรคขนาดกลางก็ดูไม่ได้ขัดขวางหรือโต้แย้งเรื่องนี้ เพียงเท่านี้บวกกับ 250 สว. พล.อ.ประยุทธ์ก็มีโอกาสเป็นนายกฯ ได้แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพรรคใหญ่พรรคใด หากแต่จะได้การบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่น การผ่านกฎหมายในสภาร่างเป็นไปอย่างปกติก็ดูจะหนีไม่พ้นการดึงพรรคใหญ่หนึ่งพรรคเข้าร่วม
แต้มต่อไปที่พรรคสนับสนุนคสช.เป็นดังนี้จึงไม่แปลกที่จะมีความพยายามปั่นกระแสข่าวเรื่องโพลล์คะแนนความนิยมตัวเองกลับมา เพื่อสร้างราคาให้การเมืองฝ่ายตัวเอง ให้มีราคาขึ้นหลังจากเสียรังวัด สส.ที่ถูกดูดไปเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแต่พื้นที่อีสานที่ตัวเองคิดว่าจะมีชัยแน่นอน ล่าสุดในครม.สัญจรก็พบว่า สส. ตัวเจ๋งๆ ของพรรคก็ไปซบไหล่รัฐบาลแล้ว การตีปี๊บหลอกใช้ข้าราชการให้ทำงานฟรีเพราะคิดว่าตัวเองจะกลับมาอาจจะไม่ได้ผลในรอบนี้
ที่สุดแล้วเกมการเมืองในครั้งนี้ก็จะก้าวไม่พ้นวังวน เก้าอี้ดนตรี รัฐมนตรี ที่ต้องมีโควตาให้พรรคเล็กได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็น รมว. รมช. ให้ครบเพื่อสนองประโยชน์ และคุมเสียงในสภาไม่ต่างจากรัฐบาลไทยรักไทย ที่กวาดต้อน สส. แตกทัพมาร่วมตั้งพรรคการเมือง และร่วมตั้งรัฐบาลที่สุดท้ายการเมืองก็ไม่ได้สะท้อนความต้องการของประชาชน แต่สะท้อนเพียงผลประโยชน์ของกลุ่มบางกลุ่มมุ้งบางมุ้งเท่านั้น
การเดินสาย ครม.สัญจรที่กำลังเกิดขึ้นในหลายหัวเมืองก็แสดงให้เห็นว่า การดูดเกิดขึ้นจริงและหนักขึ้นเรื่อยๆ ครม.สัญจรครั้งแรกๆ มีเพียง สส. พรรคเล็กอื่นๆ ที่มาร่วมต้อนรับตามวิสัยของเจ้าของพื้นที่ แต่ที่ชัดเจนว่าพรรคใหญ่กำลังระส่ำระสายคือการปรากฏตัวของ สส. พรรคใหญ่หลายจังหวัด ไปร่วมต้อนรับนายกฯ ครั้งที่ไปเยือนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ที่กำลังส่งสัญญาณว่าพรรคใหญ่เองก็กำลังตกที่นั่งลำบากในการบริหารเสียงในพรรค ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทย
ถึงที่สุดแล้วหน้าตาของการเมืองในอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนในครั้งต่อไปว่าจะให้ใครเป็นผู้นำประเทศ แม้ว่าจะมีเงื่อนไขทางการเมืองต่างๆ ที่ควบคุมกติกาของการเมืองไว้ก็ตาม แต่ถ้าเสียงของประชาชนหนักแน่นพอที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเองไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็สามารถออกแบบประเทศของเราได้ ขณะที่รัฐบาลคสช. ถ้าจริงใจกับการเลือกตั้ง ก.พ. 2562 ที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ควรเร่งปลดล็อกพรรคการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมได้เสียที เพราะการสร้างประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่เสมอภาคเท่าเทียมไม่สามารถทำได้ในเพียงวันสองวัน แต่ต้องอาศัยเวลาในการเตรียมการให้พร้อมเพื่อผลประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติในอนาคต 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลคสช. ก็ได้วางรากฐานที่ดีให้กับประเทศพอแล้ว คงต้องให้ประชาชนเข้ามารับช่วงต่อไป.........
“...หากท่านไม่เชื่อถือผู้อื่น ผู้อื่นไหนเลยเชื่อถือท่าน?...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องดาบมรกต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี